ผู้ชายทุกคนคงเคยได้ยินว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” และหนทางหนึ่งซึ่งเป็นหนทางที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวนั่นก็คือพยายามรักษาร่างกายตัวเองให้มีรูปร่างที่สมส่วน ไม่เป็นคนอ้วนลงพุงและมีน้ำหนักเกิน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมาอีกมากมาย แต่ปัญหาก็คือทุกๆคนก็อยากจะมีรูปร่างที่ดี ทว่ามีไม่เยอะนักที่จะทำได้จริงในระยะยาวๆ วันนี้ MenDetails จะมาบอกความลับของผู้ชายที่มีรูปร่างสมส่วนทั้งหลายว่าพวกเขา ทำยังไงให้ผอม และเป็นเรื่องที่คนที่ยังมีน้ำหนักเกินทั้งหลายอาจจะยังไม่ได้ทำตามครับ
ระมัดระวังเรื่องการกิน และจำนวนแคลอรี่ “อย่างจริงจัง”
หากต้องการกำจัดพุงและน้ำหนักส่วนเกินออกไป ผู้ชายที่หุ่นดีและมีหุ่นที่สมส่วนมักจะบอกตรงกันว่า “สิ่งสำคัญอยู่ที่อาหารการกิน” ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จในการลดพุง และมีหุ่นสมส่วนจะศึกษาร่างกายของตัวเองและรู้อยู่ในใจเสมอว่า ร่างกายของตัวเองใช้พลังงานในแต่ละวันประมาณกี่แคลอรี่ พวกเขาจะจำตัวเลขนั้นไว้ขึ้นใจ และกินอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่ในระดับที่พอดีๆ กับความต้องการของร่างกาย หรือน้อยกว่านั้นในกรณีที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนัก วินัยที่ดีและการไม่ตามใจปากเช่นนี้คือข้อแรกที่สำคัญอย่างยิ่งในการตอบคำถามว่า ทำยังไงให้ผอม ที่ผู้ชายหุ่นดีแตกต่างจากผู้ชายที่ยังอ้วนลงพุงครับ
ดึงสติตัวเองกลับมาได้เสมอ
แน่นอนว่าการกินเป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์ หลายครั้งที่เราควบคุมการกินของตัวเองจนเกิดอาการเครียด หรือบางครั้งก็อยากจะกินโน่นกินนี่ตามใจปากบ้าง หลังจากที่ระมัดระวังมานาน จึงไม่แปลกที่เราทุกคนจะมีช่วงเวลา “Cheat Day” หรือ “วันศีลแตก” ที่เราอยากจะกินทุกสิ่งอย่างที่เราชอบ โดยไม่คิดจะสนใจว่าจะทำให้เราอ้วนขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้คนที่มีรูปร่างที่ดีต่างไปจากคนที่อ้วนลงพุงก็คือ พวกเขาสามารถดึงตัวเองกลับมาสู่แนวทางเดิมได้อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจจนกินแบบเลยเถิดต่อไปเรื่อยๆ ต่างจากคนลงพุงที่พอมี Cheat Day ให้ตัวเองแล้วก็ไม่ดึงสติกลับมาควบคุมตัวเองอีกเลย
ไม่มองการออกกำลังกายเป็นการลดความอ้วน
ผู้ชายที่อ้วนลงพุงมักมีปัญหาทางความคิดคล้ายๆกัน นั่นก็คือพวกเขาเชื่อว่าเราสามารถ “กินไปก่อน แล้วค่อยเอาออกทีหลังได้” กลับกันผู้ชายที่มีรูปร่างที่ดี จะรู้ดีว่าเราไม่สามารถออกกำลังกายอย่างหนักในครั้งเดียวเพื่อชดเชยการกินแบบตามใจปากได้ ท้ายที่สุดพวกเขาจึงไม่ได้หวังพึ่งการออกกำลังกายเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความอ้วนอีกต่อไป แต่จะมองการออกกำลังกายเป็นการบริหารร่างกายให้แข็งแรง ให้ร่างกายมีระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนเลือดที่ดีเป็นสำคัญ การเปลี่ยนความคิดเช่นนี้มีผลดีคือยิ่งทำให้เราเน้นคุณภาพของการกินมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อการลดพุงของตัวเราเองมากกว่าครับ
มีกิจกรรม Active เล็กน้อยให้ทำตลอดวัน
แทนที่จะพยายามออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อหวังว่าจะเผาผลาญสิ่งที่กินเข้าไปให้หมดในคราวเดียว ผู้ชายที่มีหุ่นสมส่วนทั้งหลายมักเลือกวิธีการ “สะสมการเผาผลาญพลังงานตลอดวัน” โดยกำหนดให้ร่างกายมีกิจกรรมที่ Active ให้ทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินขึ้นบันไดออฟฟิศเป็นประจำ หรือ ตั้งเวลาให้ตัวเองลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานออกมาบริหารร่างกายทุกๆ ครึ่งชั่วโมง การเก็บเล็กผสมน้อยแบบนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าการพยายามออกกำลังกายหนักๆในครั้งเดียว เพราะง่ายต่อการปฏิบัติ ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินทางไปที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ MenDetails แนะนำให้เริ่มต้นแค่ตั้งเวลาวิดพื้น 10 ครั้งทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ถ้าคุณทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน วันหนึ่งๆก็จะวิดพื้น 160 ที ถ้าเบื่อวิดพื้นวันรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนเป็น Squat หรือ Plank 1 นาทีก็ได้ ทำแบบนี้ทุกวันก็จะได้ Workout ให้หุ่นดีโดยไม่ต้องเสียเงินค่าฟิตเนสเลยล่ะครับ
ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น “วิถีชีวิต”
ผู้ชายที่มีหุ่นสมส่วนจะค่อยๆ ปรับให้ 4 ข้อข้างต้นกลายเป็นวิถีชีวิตในระยะยาวของตัวเอง จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่เขาทำโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องมีโอกาสพิเศษ และแรงกระตุ้นใดๆ มาทำให้เขาฮึดสู้เป็นครั้งคราว ต่างกับผู้ชายที่ไม่ดูแลตัวเองและปล่อยตัวเองให้อ้วนลงพุง พวกเขาจะมุ่งมั่นตั้งใจอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเลิกทำไปเมื่อถึงเป้าหมาย หรือไม่ก็เลิกกลางคันทั้งๆที่น้ำหนักของตัวเองก็ยังเกินมาตรฐานอยู่ ดังนั้นถ้าเราอยากจะมีรูปร่างและสุขภาพที่ดี จงเลือกแนวทางที่เราเชื่อว่าตัวเองสามารถทำจนติดเป็นนิสัยไปได้ตลอดชีวิต ดีกว่าเข้าคอร์สระยะสั้นแบบ intensive ที่ทำได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจไปอย่างน่าเสียดายนะครับ
การลดพุงและรักษาหุ่นให้สมส่วนอยู่เสมอ คือสิ่งที่สำคัญทั้งต่อบุคลิกภาพและสุขภาพของผู้ชายทุกๆ คน แต่การรักษาหุ่นแบบนี้เปรียบได้กับการ “วิ่งมาราธอน” มากกว่าการ Sprint ระยะสั้นแบบ “วิ่ง 100 เมตร” ผู้ชายที่อ้วนลงพุงและอยากจะมีรูปร่างที่ดีขึ้น ต้องเข้าใจสิ่งนี้ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองในระยะยาว ไม่เช่นนั้นแล้วสุดท้ายคุณก็จะกลับมามีน้ำหนักเกินเหมือนเดิมนั่นแหละครับ