ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทำให้ในปัจจุบันการซื้อขายสินค้าและบริการกำลังค่อย ๆ ปรับตัวเข้าสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น ข้อดีของการซื้อสินค้าเช่นนี้คือช่วยลดการใช้จ่ายผ่านเงินสด ทำให้ความจำเป็นในการพิมพ์ธนบัตรลดน้อยลงในอนาคต อีกทั้งยังสะดวกสบายกับการใช้จ่าย และที่สำคัญยังมี “เงินคืน” สำหรับผู้ที่รู้จักเทคนิคการซื้อของออนไลน์แบบเหนือชั้นอีกด้วย วันนี้ MenDetails จะมาแนะนำวิธีการ ซื้อของ ได้เงินคืน ด้วยเทคนิคง่าย ๆ 3 แบบที่คุณสามารถเริ่มต้นทำได้ทันที หากใช้จนคล่องแล้วจะพบว่าจำนวนเงินคืนที่ได้กลับมานั้น “เป็นกอบเป็นกำ” ไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว
ซื้อของ ได้เงินคืน ด้วยการใช้ บัตรเครดิต
อย่างที่ MenDetails ได้เคยพูดคุยไปก่อนหน้านี้แล้วว่า “บัตรเครดิต” คือดาบสองคมที่มีประโยชน์สูงและก็มีโทษมหันต์เช่นกัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้บัตรเครดิตเอง ว่าจะมีวินัยในการใช้บัตรเครดิตมากพอที่จะไม่ก่อหนี้ก่อสินจนเป็นปัญหาหรือไม่ อย่างไรก็ดีหากเราต้องการซื้อของแล้วได้เงินคืน การใช้ “บัตรเครดิต” เพื่อทำการชำระเงินจะช่วยให้คุณได้เงินคืนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว บัตรเครดิตโดยทั่วไปจะมีการสะสมแต้มเมื่อเกิดการใช้จ่าย และสามารถนำแต้มที่สะสมไว้นั้นไปแลกเป็น “เงินคืน” ได้ตามเงื่อนไขของแต่ละบัตร ตัวอย่างเช่น สะสมแต้มบัตรเครดิตให้ครบ 7,500 แต้ม แล้วสามารถนำไปแลกเป็นเงินคืนได้ 500 บาท เป็นต้น
บัตรเครดิตอีกแบบหนึ่งคือแบบที่ไม่มีการสะสมแต้ม แต่จะระบุไปเลยว่าเป็นบัตรเครดิตที่เราจะได้เงินคืนทันทีเมื่อใช้จ่าย เช่น ได้รับเงินคืน 1% จากการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตใบนี้ในแต่ละเดือน นั่นแปลว่าหากเราใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไป 10,000 บาท เราก็จะมีเงินคืนกลับมา 100 บาท แบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องไปนั่งแลกคะแนนให้ยุ่งยากวุ่นวายภายหลัง ซึ่งจากประสบการณ์ตรงนั้น หากเรามุ่งเน้นที่จะ ซื้อของ ได้เงินคืน เป็นหลัก การใช้บัตรเครดิตแบบที่ 2 จะคุ้มค่ากว่า เพราะจะได้เงินคืนเร็วกว่าและมากกว่าครับ
โปรโมชั่น “เงินคืน” ของบัตรเครดิตก็ใช้ได้
นอกจากการได้รับแต้ม หรือได้รับ Cashback เงินคืน แบบตรงไปตรงมาจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแล้วนั้น ทางแบรนด์ของบัตรเครดิตแต่ละใบนั้นก็ยังมี “โปรโมชั่นพิเศษ” ยิงออกมาเป็นระยะ เพื่อเพิ่มจำนวน “เงินคืน” จากการใช้จ่ายผ่านบัตรได้มากขึ้นอีก ตัวอย่างเช่น โปรโมชั่นซื้อสินค้า IT ผ่านบัตรเครดิตครบ 15,000 บาท แล้วจะได้รับเงินคืนพิเศษ 300 บาท เป็นต้น โดยทางบัตรเครดิตอาจมีการให้ลงทะเบียนเพื่อใช้โปรโมชั่นเหล่านี้เป็นระยะ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบโปรโมชั่นเหล่านี้ได้ผ่านทางเว็บไซต์หรือแผ่นพับที่มาพร้อมกับใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตแต่ละเดือนได้เช่นกัน แม้บางครั้งอาจจะต้องเสียเวลานั่งตรวจสอบโปรโมชั่นกันอยู่บ้าง แต่จำนวนเงินคืนได้รับกลับมาเป็นหลักหลายร้อยบาท หรือแตะหลักพันหลักหมื่นบาท (ถ้าเราใช้เยอะจริง ๆ) มันก็ฟังดูคุ้มกับการเสียเวลาสัก 15 นาทีเพื่อค้นหาโปรโมชั่นเหล่านี้จากบัตรเครดิตแต่ละใบก่อนใช้จ่ายจริงนะครับ
ซื้อของ ได้เงินคืน ผ่านเว็บไซต์ประเภท “Affliliate”
บอกตามตรงว่าครั้งแรกที่ได้พบกับวิธีนี้ เราเองเกิดความสงสัยไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเป็นการหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนตัวของเราหรือไม่ แต่หลังจากที่ได้ลองใช้งานมาเป็นเวลาพอสมควร พบว่าเว็บไซต์ประเภท Affliliate (เว็บนายหน้า) หลายเว็บนั้นก็น่าเชื่อถือและใช้งานได้จริง เช่น Shopback หรือ myCashback เป็นต้น
โดยหลักการของเว็บไซต์ประเภทนี้ก็คือให้เราสมัครสมาชิกกับพวกเขาก่อน จากนั้นในเว็บไซต์เหล่านี้จะมีเครือข่ายของร้านค้าออนไลน์ที่มาลงทะเบียนและแจ้งอัตรา “เงินคืน” ที่จะคืนให้กับคนที่ซื้อของ เงื่อนไขก็คือเราต้องทำการ Log In บนเว็บไซต์ Affliliate เหล่านี้ก่อน แล้วก็ค่อยเข้าไปชำระเงินซื้อสินค้าในเว็บไซต์อื่น ๆ ตามปกติ ระบบ AI จะทำการตรวจจับจำนวนเงินที่เราจ่าย และขึ้นเป็นจำนวนเงินคืนในหน้าสมาชิกของเว็บไซต์ Affliliate โดยอัตโนมัติ ทาง Affliliate ก็จะมีการกำหนดระยะเวลาเพื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าเราจ่ายเงินจริง และได้ใช้สินค้าและบริการที่ซื้อไปจริง จากนั้นเมื่อครบกำหนดเวลาตรวจสอบ เราก็จะสามารถถอนเงินคืนออกมาจากเว็บไซต์ Affliliate เหล่านี้เข้าบัญชีธนาคารส่วนตัวที่ผูกไว้อีกทอดหนึ่ง
ข้อเสียของการ ซื้อของ ได้เงินคืน ผ่านเว็บไซต์ Affliliate เหล่านี้ก็คือ ระยะเวลารอคอยที่ค่อนข้างนาน กว่าจะสามารถถอนเงินที่ได้รับคืนออกมาได้ อีกทั้งความยุ่งยากวุ่นวายที่เพิ่มขึ้นในการซื้อของ เพราะต้องคอย Log In ซ้อนกันตลอดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์จะตรวจจับการจ่ายเงินของเราได้ แต่ทั้งหมดก็แลกมาด้วยอัตราเงินคืนที่ถือว่าค่อนข้างสูงมาก บางเจ้ามีอัตราเงินคืนถึง 10% เลยก็มี แถมยังมีสินค้าและบริการให้เลือกหลากหลาย ทั้งการซื้อสิ่งของทั่วไปผ่านเว็บไซต์ชั้นนำ หรือแม้แต่การจองโรงแรม หรือ จองตั๋วเครื่องบิน ก็มีเช่นกัน ลองนึกภาพการจองโรงแรมออนไลน์เวลาไปเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนเงินระดับหลักหมื่น แล้วได้เงินคืนมาเป็นหลักพัน มันก็ดูเป็นเงินก้อนที่คุ้มค่าดีเหมือนกันนะครับ
ประสาน 3 พลังเงินคืน
สมมติเรากำลังตัดสินใจจะซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งราคา 15,000 บาท การจ่ายด้วย “เงินสด” เราก็จะต้องจ่ายในราคา 15,000 บาทเต็ม ๆ ตามปกติ แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาจ่ายผ่านบัตรเครดิตใบหนึ่งที่มีเงินคืนให้ 1% จากการใช้จ่าย เราจะได้รับ เงินคืน “ก้อนแรก” จำนวน 150 บาท จากนั้นหากเราค้นข้อมูลเพิ่มเติมจนพบว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้วางขายอยู่ในร้านค้าที่กำลังมีโปรโมชั่นเครดิตเงินคืน 300 บาท เมื่อใช้จ่ายครบทุก 15,000 บาทพอดี เราก็จะได้รับ เงินคืน “ก้อนที่สอง” อีก 300 บาท และพอเราไปเช็คกับเว็บไซต์ Affliliate ก็เจอว่า เว็บไซต์ที่เราจะสั่งซื้อนั้น มีชื่ออยู่ในเครือข่ายที่ได้รับเงินคืนอีก 5% ด้วย กลายเป็น เงินคืน “ก้อนที่สาม” อีก 750 บาท รวมเป็นเงินคืนทั้งสิ้น 1,200 บาท ถือเป็นการประสาน 3 พลังเงินคืนที่ไม่เลวเลยทีเดียว
การซื้อสินค้าและบริการแล้วได้เงินคืนนั้น ถือเป็นผลประโยชน์ที่ในปัจจุบันผู้บริโภคอย่างพวกเราสามารถหาช่องทางหลากหลายเพื่อเอา “เงินคืน” กลับมาบางส่วนจากจำนวนเต็มที่เราจ่ายไปได้ แต่พึงระวังอย่าได้หลงกลแผนการตลาดจนใช้จ่ายเงินเกินตัว ทางที่ดีที่สุดคือหาวิธีโยกเอาค่าใช้จ่ายที่ตัวเราเองจ่ายอยู่แล้วเป็นปกติแต่ไม่เคยได้เงินคืน เข้ามาอยู่ในรูปแบบของค่าใช้จ่ายที่มีเงินคืนกลับมา แค่นี้คุณก็จ่ายเงินเท่าเดิมแต่ได้รับผลประโยชน์มากขึ้นกว่าที่เคย ลองเอาเทคนิคของเราไปใช้กันดูนะครับ