หลังจากที่ใน MenDetails x Nagasaki ตอนที่แล้ว เราเดินทางมาถึงเมือง Nagasaki เมืองหลวงของจังหวัด Nagasaki เพื่อมาชมเทศกาล Nagasaki Kunchi เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงประจำปี 2023 กันสมความตั้งใจแล้ว เวลาที่เหลือในเมืองนี้จึงเป็นการท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ และแวะกินร้านอาหารอร่อยในเมืองนี้ครับ
ผู้เขียนซีรีส์นี้ของ MenDetails มีโอกาสมาเยือนเมืองนี้ก่อนโควิดระบาดจนการเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักไม่กี่เดือน การกลับมาครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการรื้อฟื้นความทรงจำ รวมถึงยังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเมืองที่มีการพัฒนามากขึ้นจนหลาย ๆ อย่างแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ตั้งใจไว้เหมือนเดิม คือการบอกเล่าสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองที่หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่มีเรื่องราวน่าสนใจ หากใครมาเที่ยวเองก็ห้ามพลาด รวมถึงบอกเล่าร้านอาหารอร่อย ๆ ให้กับสายกินทั้งหลายครับ ซึ่งในเวลาที่จำกัดของทริปนี้ ทำให้เราไม่สามารถเก็บสถานที่เที่ยวและกินที่ผู้เขียนรู้ทั้งหมดได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนแอบเสียดาย แต่ก็หวังว่าบทความนี้จะทำให้เมืองนางาซากิ กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในทริปญี่ปุ่นครั้งต่อ ๆ ไปของทุกท่าน และอาจทำให้หลาย ๆ คน ตกหลุมรักเสน่ห์ของเมืองนี้แบบผู้เขียนก็เป็นได้ และเนื่องจากเรากลัวว่าเนื้อหาการเที่ยวในเมืองจะยาวเกินไป เราจึงแบ่งเป็นสองตอน ตามจำนวนวันที่เราอยู่ในเมืองนี้ครับ
คำแนะนำเบื้องต้นในการเดินทางในเมือง Nagasaki
ก่อนที่จะพูดถึงสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง เราอยากแนะนำเรื่องการเดินทางในเมืองก่อนครับ ซึ่งการเดินทางภายในตัวเมืองนางาซากินั้นสะดวกและง่ายดายมาก โดยหลัก ๆ จะมีรถเมล์ ที่วิ่งตามเวลา ผ่านป้ายต่าง ๆ ตามแต่ละสาย แต่สำหรับคนที่ไม่สันทัดภาษาญี่ปุ่น รถเมล์อาจจะเป็นการเดินทางที่ท้าทายสักหน่อย เพราะชื่อป้ายต่าง ๆ จะเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นและเวลาจ่ายเงินราคาจะต่างไปตามระยะทาง รวมถึงไม่มีบัตรรถเมล์แบบ All day pass สำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้ต้องจ่ายเหรียญหรือแตะการ์ดหักเงิน และรถเมล์หลายสายจะวิ่งไปตามซอยเล็กซอยน้อยที่เป็นโซนพักอาศัยมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว หากไม่เชี่ยวชาญทางก็ไม่อยากแนะนำ
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป วิธีการเดินทางหลักในเมืองนี้ที่ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ ๆ ของเมือง คือ รถราง หรือ รถแทรม ครับ แบบในเมืองซานฟรานซิสโกเลย ตามถนนเส้นหลักเราจะเห็นรางรถอยู่กลางถนน มีป้ายตรงจุดสำคัญ ๆ ทั่วเมือง และรอบรถจะวิ่งถี่กว่ารถเมล์ ทำให้มันเป็นวิธีการเดินทางหลักของทั้งนักท่องเที่ยวและคนในเมือง
สำหรับรถรางจะมีบัตร All Day Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติขายที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่สถานีรถไฟ Jr นางาซากิ ราคาเหมา 600 เยน จ่ายแล้วขึ้นกี่รอบก็ได้จนหมดวัน ถือว่าคุ้มมาก เพราะรถรางในเมืองนางาซากิแม้จะเป็นราคาเดียวทั้งสายแต่ถ้าเราขึ้นหลายรอบไป – กลับ / เปลี่ยนสาย เพราะไปเที่ยวหลายที่ก็จะเกินราคาตั๋ว All Day Pass หากพักหลายวันเราสามารถซื้อตั๋วทีเดียวได้เลย เขาจะให้มาตามจำนวนวันกับจำนวนคน แต่ละใบจะมีเขียนวันที่ที่ใช้ตั๋วได้ไว้แล้ว พอเราขึ้นรถรางตอนลงก็โชว์ตั๋วได้เลย แล้วตั๋วเขาทำเป็นแผ่นพับข้อมูลเส้นทางรถรางและสถานที่ในเมืองไว้เสร็จสรรพ
รถรางของเมืองนางาซากิจะแบ่งออกเป็น 3 สายหลัก ๆ ที่แยกด้วยสีที่ต่างกัน บางสถานที่เราต้องไปเปลี่ยนสาย ก็ไปลงสถานีรถรางที่กำหนดเพื่อเปลี่ยนครับ และไม่ต้องกลัวหลงเพราะนอกจากแผ่นพับและแฟนที่การเดินรถรางที่ตั้งอยู่ทุกป้ายแล้ว ในตัวรถก็จะมีหน้าจอบอกป้ายถัดไป และเสียงประกาศว่าสายนี้จะวิ่งไปไหน เป็นภาษาอังกฤษด้วย
รถรางในเมืองนางาซากิจะวิ่งตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเวลาราวห้าทุ่มครึ่ง หากใครช้ากลับที่พักไม่ทันต้องเรียกแท็กซี่ ซึ่งแท็กซี่ตอนกลางคืนของญี่ปุ่นเรตแพงมากทีเดียว หรือถ้าไม่ไกลมากก็สามารถเดินได้เช่นกันครับ ตอนกลางคืนนางาซากิอาจจะดูเงียบ ๆ น่ากลัวเหมือนผีจะหลอกสักหน่อย แต่รับรองว่าค่อนข้างปลอดภัยครับ ผู้เขียนเคยไปดื่มกับเพื่อนจนกลับไม่ทันต้องเดินกลับที่พักตอนเที่ยงคืนมาแล้ว ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงแต่ก็กลับถึงที่พักอย่างปลอดภัย (แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้หญิงอยู่ดี)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์อันโหดร้าย ที่ Nagasaki Atomic Bomb Museum
หลังจากที่เราชมการแสดง Niwasakimawari จากตอนที่แล้วจบ เราก็เริ่มออกเที่ยวในเมืองครับ สถานที่แรกที่เราจะไปเป็นสถานที่ที่ทำให้เราเห็นความโหดร้ายของการใช้อาวุธระเบิดปรมาณู อย่าง Nagasaki Atomic Bomb Museum ครับ
หลายคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า นางาซากิเป็นเมืองที่ถูกสหรัฐอเมริกาปล่อยระเบิดปรมาณูใส่ในปี 1945 ต่อจากเมืองฮิโรชิมา และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบิดาของระเบิดปรมาณูก็คือ J. Robert Oppenheimer ที่หลายคนน่าจะเคยได้ชมภาพยนตร์ที่อิงมาจากหนังสือชีวประวัติของเขาอย่าง Oppenheimer
การทิ้งระเบิดในครั้งนั้นทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อสภาพแวดล้อมและผู้คน ทำให้จังหวัดนางาซากิและทางการญี่ปุ่นต้องการย้ำเตือนโลกถึงความโหดร้ายของอาวุธนิวเคลียร์ (และสงคราม) ด้วยการพาเราเดินทางย้อนเวลากลับไปในปี 1945 ผ่านการจัดแสดงสิ่งของและรูปถ่ายในยุคนั้นในพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู ทั้งสิ่งของเครื่องใช้รูปร่างบิดเบี้ยวที่อยู่ในรัศมีระเบิด ข้อมูลของระเบิดที่เกิดในวันนั้น ไปจนถึงผลกระทบของระเบิดปรมาณูที่ส่งผลต่อคนในพื้นที่ และการดำเนินการรักษาในเวลาต่อมา ทางพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงส่วนต่าง ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบ และใช้เวลาเดินดูไม่นาน
นอกจากนี้ใกล้ ๆ กับ Nagasaki Atomic Bomb Museum ก็มีอีกสถานที่ที่น่าสนใจ นั่นคือ Hypocenter Park หรือจุดที่ระเบิดปรมาณูตกลงมานั่นเอง สถานที่แห่งนี้เป็นสวนเรียบ ๆ มีอนุสรณ์เป็นแท่งสีดำแสดงความรำลึกถึงเหตุการณ์น่าเศร้า พร้อมกับซากสิ่งก่อสร้างเก่าที่ยังคงอยู่ ในสวนนี้ยังมีส่วนจัดแสดงเป็นหน้าต่างเล็ก ๆ ตรงคูน้ำ ที่แสดงให้เห็นถึงซากปรักหักพังต่าง ๆ จากตอนระเบิดปรมาณูระเบิดที่อยู่ใต้ดิน ที่ทางการมีการขุดพื้นที่แถวนั้นในเวลาต่อมา
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/Y13Rp1VBvDN5ge3c7 เปิดทุกวัน 8.30 – 17.30 น. (มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม) สามารถนั่งรถรางของเมืองมาลงสถานี Peace Park แล้วเดินเที่ยวได้เลย
ร้านลับห้ามพลาด Sakanaya ร้านเล็ก ๆ ที่เสิร์ฟข้าวหน้าปลาดิบแสนอร่อย
หากใครมาเที่ยวบริเวณนี้ และเป็นเวลากินข้าวเที่ยงพอดี เราอยากแนะนำร้านเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Sakanaya ให้รู้จักครับ ร้านนี้เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เป็นที่รู้จักในท้องถิ่น เพราะเคยออกรายการโทรทัศน์ท้องถิ่นมาก่อน ส่วนตัวผู้เขียนครั้งแรกที่มาร้านนี้มีรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในเมืองนางาซากิพาไปกินครับ ทริปนี้ผู้เขียนไม่มีเวลามากิน แต่เป็นร้านที่การมาเที่ยวนางาซากิก่อนหน้านี้ทุกครั้งแวะมาเสมอ ก็เลยอยากฝากไว้ในอ้อมใจท่านผู้อ่านครับ
ตัวร้านไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ต้องเดินเข้าไปถนนสายย่อย ที่อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถราง Peace Park เดินเข้าไปเรื่อย ๆ ประมาณ 5 – 10 นาที ก็มาถึง ร้านอยู่ในบริเวณใกล้โบสถ์ Urakami โบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกในยุคนั้น และได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหวังหลังการทำลาย เพราะโบสถ์สีแดงแห่งนี้ถูกระเบิดปรมาณูทำลายจนอาคารดั้งเดิมส่วนใหญ่เสียหาย (ซากอาคารดั้งเดิมบางส่วนมีจัดแสดงอยู่ใน Nagasaki Atomic Bomb Museum) ปัจจุบันก็ถูกสร้างขึ้นและฟื้นฟูใหม่จนเป็นอย่างทุกวันนี้
ร้านนี้ตอนเที่ยงจะขายข้าวหน้าปลาดิบแบบเป็นเซ็ต เพราะเจ้าของร้านต้องการต้อนรับทั้งนักท่องเที่ยว คนในพื้นที่ ไปจนถึงนักศึกษา นักเรียน เมนูตอนเที่ยงจึงเป็นเมนูกินง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาไม่แพง ส่วนตอนกลางคืนจะกลายเป็นอิซากายะที่พร้อมเสิร์ฟอาหารทะเลสดใหม่ให้ลูกค้า ร้านแม้จะเล็ก แต่ก็ดูทันสมัย อบอุ่น พนักงานเอาใจใส่ดี ที่สำคัญคือทางร้านมีเมนูภาษาอังกฤษ
ร้านนี้จุดเด่นอยู่ที่ปลาที่มีความสดใหม่ เพราะตระกูลของเจ้าของร้านทำธุรกิจขายปลามาสามรุ่น ทำให้ตัวเจ้าของร้านที่เป็นลูกชายคนรองที่ได้ความรู้เรื่องปลาจากพ่อ ก็เอาความรู้มาคัดเลือกปลาและนำมาทำอาหารให้กับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามา ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงคุณภาพและความสดของปลาที่นำมาปรุงอาหาร
เมนูอาหารเที่ยงของที่นี่มีสองแบบ คือ ข้าวหน้าปลาดิบ ที่มีทั้ง Sashimi Don (ข้าวหน้าปลาดิบ) Chirashi Sushi (ข้าวที่โปะด้วยปลาดิบสับชิ้นเล็ก ๆ หลายประเภท) และข้าวหน้าแซลมอนต้ม เป็น Lunch Set มาพร้อมสลัดและซุปใสจากปลา ส่วนอีกแบบจะเป็นอาหารเซ็ต อย่าง เซ็ตไก่ทอด เซ็ตไก่นัมบัง เซ็ตปลาทอด เซ็ตปลาดิบ ราคาอาหารเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1000 เยนครับ ส่วนตัวผู้เขียนชอบ Sashimi don ของร้านนี้ที่สุด และหากใครมาครั้งแรกก็ขอแนะนำ
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/U131s1kbAyoyVfmz5 ร้านเปิด 11.30 – 14.00 น. สำหรับมื้อกลางวัน และ 18.00 – 24.00 น. สำหรับมื้อเย็น ร้านปิดทุกวันอังคาร
Peace Park สวนสันติภาพ ตัวแทนคำขอให้สันติเกิดแก่โลกใบนี้
หลังจากเยี่ยมชม Nagasaki Atomic Bomb Museum เรียบร้อย เดินมาอีกไม่ไกล ก็จะมาถึงอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเมือง ที่นักท่องเที่ยวทั้งเที่ยวเองและมากับทัวร์ต่างต้องแวะมา นั่นคือ Nagasaki Peace Park หรือ สวนสันติภาพนางาซากิครับ
สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1955 ไฮไลท์อยู่ที่ทางด้านเหนือของสวนที่เป็นลานกว้างมีรูปปั้นแห่งสันติภาพที่แกะสลักโดยช่างแกะสลักชื่อ Seibo Kitamura ที่เป็นคนจังหวัดนางาซากิโดยกำเนิด รูปปั้นนี้มือขวาจะชี้ขึ้นฟ้าสื่อถึงอันตรายจากระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งลงมาจากฟ้า ส่วนมือซ้ายกางออกสื่อถึงสันติภาพ ดวงตาหลับเพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากการระเบิด ขาขวาอยู่ในท่านั่งสมาธิ ส่วนขาซ้ายแตะพื้นสื่อถึงการเริ่มต้นในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ รูปปั้นนี้ถูกออกแบบมาให้มีความเป็นตะวันตกกับตะวันออกผสมผสานกัน สะท้อนถึงศิลปะ ความคิด ความเชื่อ ของทั้งสองฝั่งโลก ที่ทุกคนมีความปรารถนาเดียวกันคือสันติภาพ ด้านหน้ารูปปั้นมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่จารึกรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้งหมด ทั้งในตอนที่ระเบิดลง และคนที่เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ในบริเวณสวนยังมีซากดั้งเดิมของโบสถ์ Urakami หลงเหลืออยู่ และมีการจัดแสดงรูปปั้นและงานศิลปะต่าง ๆ ที่ได้รับบริจาคมาจากทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพมีการจัดตั้งส่วนนี้มีตั้งแต่ปี 1978 ปัจจุบันยังคงมีการบริจาครูปปั้นใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ โดยชิ้นล่าสุดมาจากออสเตรเลียในปี 2016
นอกจากนี้ทางด้านใต้ของสวน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับรูปปั้นแห่งสันติภาพ คือ Fountain of Peace หรือ น้ำพุแห่งสันติภาพ สร้างขึ้นในปี 1969 เพื่อเป็นการรำลึกถึงดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู เพื่อดับความกระหายให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น เพราะในเหตุการณ์ระเบิด มีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตจากการขาดน้ำ ส่วนคนที่ไม่เสียชีวิตในทันที พวกเขาต้องการดื่มน้ำ แต่แหล่งน้ำในรัศมีระเบิดนั้นปนเปื้อนด้วยกัมมันตภาพรังสี การดื่มน้ำทำให้พวกเขาได้รับสารปนเปื้อนทำให้เกิดโรคและเสียชีวิตในเวลาต่อมาเช่นกัน น้ำพุแห่งนี้จึงเป็นตัวแทนของน้ำสะอาดให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นมาดับกระหาย และยังเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงสันติภาพ และความสงบร่มเย็นของโลกเหมือนน้ำด้วย
หากใครโชคดีมาที่ลานรูปปั้นแห่งสันติภาพ แล้วเห็นรถเข็นสีฟ้าเล็ก ๆ ก็อยากลืมอุดหนุนกันนะครับ เพราะนี่คือหนึ่งของกินไฮไลท์ของเมืองนางาซากิ มีชื่อเรียกว่าไอศกรีม Chirin Chirin โดยปกติจะมีขายอยู่ตามจุดท่องเที่ยวกระจายอยู่ทั่วเมือง เช่น Peace Park กับสะพานแว่นตา ขายกันมาตั้งแต่ปี 1960 สนนราคาโคนละ 300 เยน จุดเด่นคือ คนขายเวลาตักไอศกรีมเขาจะค่อย ๆ ตักมาปาดใส่โคนจนเป็นได้ไอศกรีมออกมาเป็นรูปดอกกุหลาบสวยงาม บางทีก็จะมีรสชาติให้เลือก แต่โดยปกติจะเป็นรสวานิลาที่ได้รับความนิยมตลอดกาล เนื้อไอศกรีมมีความเบา สดชื่น คล้าย sorbet กินหน้าร้อนก็ดับร้อนดี หรือจะกินช่วงอากาศเย็นก็ชื่นใจสุด ๆ เพื่อชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งของผู้เขียนบอกว่า กินไอศกรีมให้อร่อยต้องกินหน้าหนาว ซึ่งผู้เขียนก็แอบเห็นด้วย
ชื่อเรียกของไอศกรีม Chirin Chirin เชื่อว่ามาจากการเลียนเสียงกระดิ่งของรถเข็นขายไอศกรีม ส่วนวิธีการตักเป็นดอกกุหลาบเชื่อว่าเป็นความตั้งใจเพื่อไม่ให้ไอศกรีมตกจากโคนได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเวลาที่มีเด็กมาซื้อแล้วถือไอศกรีมแกว่งไปแกว่งมาด้วยความตื่นเต้น จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ไอศกรีมตกพื้น อดกิน แล้วร้องไห้ จึงเกิดเป็นทรงกุหลาบที่เป็นเอกลักษณ์ของไอศกรีมขึ้นมา
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/pPt4NfuzGS459T4e8 เข้าชมฟรี ไม่มีเวลาเปิด – ปิด
ไปลองราเมงมะเขือเทศ ที่ร้าน Ramen Hiiragi
หลังจากที่เดินเที่ยวเมืองและชมเทศกาลมาตลอดทั้งวัน คงไม่มีอะไรดีไปกว่าราเมงสักชามสำหรับมื้อเย็นก่อนกลับเข้าโรงแรมนอนพักผ่อนสำหรับวันรุ่งขึ้น เราจึงนั่งรถรางมาลงที่สถานี Kankodori แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที เพื่อมากินราเมงที่ร้าน Ramen Hiiragi ครับ
ราเมงร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านราเมงขึ้นชื่อของเมือง เป็นร้านขนาดเล็กที่คนในพื้นที่รู้จักกันดี ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่น หรือไม่ก็เหล่านักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนที่นี่ การกลับมาครั้งนี้รู้สึกว่าร้านจะมีการรีโนเวทให้ดูใหม่มากขึ้น และมีการจัดวางองค์ประกอบร้านใหม่จากในความทรงจำเมื่อราว 6 ปีก่อนที่ผู้เขียนมาร้านนี้ครั้งแรก
หากใครมาร้านนี้ตรงกับเวลากินข้าวเที่ยงและข้าวเย็นพอดี ก็ไม่ต้องแปลกใจหากมีคนต่อแถวรอหน้าร้านพอสมควร เป็นเครื่องการันตีความอร่อยได้ดี แต่ร้านก็จัดการคิวค่อนข้างเร็ว รอไม่นานมากหากไม่ได้มากลุ่มใหญ่มากนัก เวลาสั่งจะใช้วิธีจ่ายเงินที่เครื่องขายตั๋ว แล้วพนักงานจะมารับตั๋วอาหารที่เราสั่งไปเข้าครัวอีกที ครั้งแรกที่มาร้านนี้เครื่องขายตั๋วมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่ตอนนี้มีตัวเลือกภาษาอังกฤษแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องภาษาครับ แม้ว่าอาจจะมีเมนูบางรายการที่ไม่มีภาษาอังกฤษก็ตาม แต่ราเมงมีครบทุกเมนู เมื่อกดตั๋วเสร็จยื่นให้พนักงานแล้ว รอไม่นานอาหารก็มาถึงโต๊ะครับ
เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้ เป็นเมนูที่ไม่เหมือนใคร คือ Tomato Ramen หรือราเมงมะเขือเทศครับ เป็นราเมงที่มาซุปมะเขือเทศ พร้อมกับผักโขมและมะเขือม่วงผัดน้ำมัน ตัวน้ำซุปมีส่วนผสมของมะเขือเทศก็จริงแต่ไม่ได้มีรสเปรี้ยวของมะเขือเทศออกชัดเจน ตัวซุปจะมีความข้นและมันนิด ๆ แต่กินง่าย ซดคล่องคอ เส้นก็ลวกมากำลังดี ไม่แข็งไป ไม่นิ่มไป ถ้าใครอยากได้รสเปรี้ยวและเผ็ดเพิ่ม ทางร้านมีซอสทาบาสโก้ให้ใส่เพิ่มครับ ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่าใส่ลงไปนิด ๆ หน่อยจะชูรสได้ดีทีเดียว เมนูนี้ไม่มีเนื้อสัตว์เลย หากใครกลัวว่าจะไม่อิ่มท้อง เขามีเซ็ตที่เสิร์ฟมาพร้อมข้าวหมูย่างถ้วยเล็กอยู่ หรือใครจะสั่งเส้นเพิ่ม และของกินเล่นอย่างเกี๊ยวซ่ามาด้วยก็ได้
ราเมงร้านนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่ราเทงมะเขือเทศนะครับ สำหรับใครที่ไม่ชอบ หรือไม่ถูกใจ เขาก็มีราเมงอื่น ๆ ไว้บริการ ซึ่งก็รสชาติเยี่ยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะทงคตสึราเมง หรือ ราเมงน้ำซุปกระดูกหมู ที่ทำออกมาได้เข้มข้นมาก ๆ นอกนั้นก็ซุปเผ็ด และซุปสาหร่ายอาโอสะด้วย ขายกันแค่สี่อย่าง แต่แค่นี้ก็มีคนแวะเวียนมาไม่ขายสายแล้วครับ สนนราคาราเมงชามหนึ่งไม่เกิน 900 เยน ส่วนถ้าสั่งแบบเซ็ตจะประมาณ 1200 เยน แล้วแต่ว่าเราสั่งอะไร เป็นอีกร้านที่เราแนะนำครับ
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/cRC8RmhzfJNaXCiaA เปิด 11.00 – 3.00 น. ร้านปิดทุกวันอังคาร สามารถนั่งรถรางของเมืองมาลงสถานี Kankodori แล้วเดินแปบเดียวถึงเลย ร้านหาไม่ยาก สังเกตป้ายร้านสีฟ้าเอาไว้
นี่เป็นเพียงแค่วันแรกของเราในเมืองนางาซากิเท่านั้น ส่วนวันที่สองเราจะเดินเที่ยวตามจุดต่าง ๆ ของเมืองแบบจัดเต็ม ใครที่อยากรู้ว่านางาซากิยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้างก็รออ่านใน Part 2 ได้เลยครับ