เมื่อสมาร์ทโฟน (Smartphone) กลายเป็นไอเท็มหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน อาจพูดได้ว่าขาดไม่ได้ เพราะรวมทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้เอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาปลุก ปฏิทิน กล้อง โปรแกรมการใช้งานในคอมพิวเตอร์ที่ถูกย่อส่วนกลายเป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือ จึงทำให้คนการ ติดสมาร์ทโฟน มากเกินไปครับ ส่วนใหญ่จะ ใช้งานกันทั้งวัน ตั้งแต่เช้าตอนตื่นนอนจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนนอนหลับเลยทีเดียว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพหลายอย่างตามมา
จาก Office Syndrome สู่การเป็น Smartphone Syndrome
ภาวะออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการมีลักษณะท่าทางในทำงานไม่เหมาะสม เช่น นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไปโดยไม่มีการลุกออกไปทำกิจกรรมอื่น หรือทำงานอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งซ้ำ ๆ ท่าเดิมเป็นเวลานาน ซึ่งปัจจุบันเป็นโรคคนได้ยินชื่อจนคุ้นหูกันแล้ว เพราะคนทำงานออฟฟิศหรือทำอาชีพที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทั้งวันเป็นกันเยอะ เมื่อพฤติกรรมการใช้งานของคนเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี จากการใช้งานคอมฯ เยอะกลายเป็น ติดสมาร์ทโฟน ใช้งานสมาร์ทโฟนเยอะเกินไป อยู่ในท่าทางก้มหน้าใช้งานตลอด จึงกลายเป็นที่มาของโรคกล้ามเนื้อคอหดเกร็ง (Smartphone Syndrome/Text Next Syndrom) ได้ครับ
อาการของโรค Smartphone Syndrome
เป็นโรคที่ส่งผลต่อคอ บ่า ไหล่ คล้ายกับออฟฟิศซินโดรม แต่มีอาการปวดข้อมือและนิ้วมือร่วมด้วย โดยเกิดจากท่าทางขณะที่ใช้งานถือสมาร์ทโฟน อวัยวะส่วนมือและนิ้วมือของเราอยู่บนหน้าจอเป็นเวลานาน มีการเสียดสีบ่อยจนเกิดอาการอักเสบ รู้สึกเจ็บและบวมขึ้นมาได้ อาการเหมือนคนเป็นโรคเส้นเอ็นอักเสบ ส่วนอวัยวะช่วงคอ บ่า ไหล่ที่อยู่ในท่าเดิมนานก็จะเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ อาจมีสัญญาณเตือนโดยเริ่มจากอาการเจ็บแปลบตามนิ้วมือและข้อมือ หากยังคงใช้งานต่อไปไม่ลด ก็มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้น
ร่างกายเตือนด้วยการปวดตามนิ้วและข้อ เมื่อ ติดสมาร์ทโฟน มากไป
เมื่อการนั่งใช้งานส่งผลต่อคอ บ่า ไหล่ การ ‘ถือ’ ใช้งานก็ส่งผลต่อข้อมือและนิ้วมือ เช่นกันครับ โดยส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาโรคกล้ามเนื้ออักเสบ อาการที่พบเห็นได้ไวที่สุด คือ การปวดตามนิ้วมือ เนื่องจากใช้งานโดยใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอ หากเป็นระดับที่รุนแรงขึ้นเกี่ยวกับนิ้วมือ คือ อาการนิ้วล็อก ซึ่งเป็นการอักเสบบริเวณเอ็นและข้อนิ้วมือ เกิดพังผืดหนารัดเส้นเอ็นจนเหยียดนิ้วให้ตรงไม่ได้
หากปวดเฉพาะแค่ช่วงนิ้วก้อย กดแล้วรู้สึกเจ็บ เราเรียกอาการแบบนี้ว่า Smartphone Pinky เกิดจากการใช้นิ้วก้อยเพียงนิ้วเดียวในการรองถือสมาร์ทโฟน ขยับไล่ขึ้นไปจากนิ้วมือ จะเป็นอาการเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Disease) โดยจะรู้สึกเจ็บเมื่อมีการขยับหัวแม่มือ หรือเจ็บเมื่อกดบริเวณเส้นเอ็นตรงรอยต่อข้อมือ ซึ่งอาการและการอักเสบของนิ้วมือและข้อมือเหล่านี้เกิดจากการทำพฤติกรรมซ้ำๆ จนเกิดความเครียดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายนั่นเองครับ
ติดสมาร์ทโฟน ก่อนนอน จนตาแห้งตาล้า
การใช้สายตาจ้องสมาร์ทโฟนโดยไม่พักเป็นระยะเวลานานก็อาจทำให้เกิดโรคหรือปัญหาทางสุขภาพได้เช่นกันครับ หากปิดไฟเล่นมือถือก่อนนอน มีโอกาสเกิดการอักเสบของกระบอกตา เพราะแทนที่ดวงตาได้ต้องปรับระดับการมองเห็นให้เหมาะกับความมืดเพียงอย่างเดียว จะต้องปรับให้อยู่กับความมืดและแสงสว่างไปพร้อมกัน ทำให้การทำงานของสมองและสายตาสับสนและทำงานหนักกว่าการใช้งานในที่ ๆ มีแสงเพียงพอ อาจทำให้มีอาการตาแห้ง กล้ามเนื้อตาล้า แสบตา สายตาพร่ามัวได้ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้ความดันในลูกตาสูง อาจรุนแรงถึงเป็นโรคต้อหินได้
สมาร์ทโฟนเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ส่งแสงสีฟ้า (Blue Light) ออกมา แม้แสงสีฟ้าจะมีข้อดีในการให้ความสว่าง แต่ก็เป็นแสงที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาโดยตรง เพราะเป็นแสงที่เรามองเห็น ทะลุผ่านกระจกตาและเลนส์ตาได้ หากจ้องนานเกินไปจะทำให้เกิดอาการตาแห้งและล้า และยังส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเมลาโทนินด้วย หากเล่นก่อนนอนเป็นประจำ อาจทำให้นอนหลับไม่สนิทและเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งอาการรุนแรงได้มากที่สุดถึงจอประสาทตาเสื่อม
นอกจากนั้นหากใช้สายตากับสมาร์ทโฟนทั้งวันก็อาจทำให้มีปัญหาเรื่องสายตาสั้นและสายตาเอียงร่วมด้วย
Brain Fog Syndrome เมื่อกี้จะทำอะไรนะ นึกไม่ออก
นอกจากอาการตาล้าที่เกิดขึ้นเป็นประจำแล้ว การใช้งานสมาร์ทโฟนเยอะเกินไป ยังทำให้สมองล้าได้ด้วย เนื่องจากสมาร์ทโฟนมีคลื่นแม่ไฟฟ้าที่รบกวนการหลั่งของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ในสมอง ฉะนั้นคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนทั้งวัน มักมีสมาธิสั้น จดจ่อกับอะไรได้ไม่นาน รู้สึกหัวไม่แล่น บางทีอาจแย่ถึงขั้นขาดความคิดสร้างสรรค์ ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือกำลังจะทำอย่างง่ายดาย เช่น นึกไม่ออกว่ากำลังจะพูดอะไรกับใคร จำไม่ได้ว่าเมื่อวานกินอะไร ลืมว่าเอาของไปวางไว้ที่ไหน เป็นต้น
แม้เทคโนโลยีจะมีส่วนช่วยให้การดำเนินชีวิตเราสะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังจริงๆ ครับ เพราะอะไรที่ใช้มากเกินไปสามารถส่งผลเสียด้วยกันได้ทั้งนั้น ซึ่งเราสามารถป้องกันการเกิดโรคและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนได้ด้วยวิธีกำหนดเวลาใช้งาน รู้จักพักสายตา วางมือถือและลุกไปทำอย่างอื่นบ้าง เมื่อเล่นต้องอยู่ในท่าทางที่ถูกลักษณะ อย่าก้มหน้าเยอะเกินไปจนคอ บ่า ไหล่ และมือเกร็ง