สำหรับทีมงาน MenDetails แล้ว หนึ่งในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่คุณภาพเยี่ยม รสชาติอาหารแบบต้นตำรับ มีการบริการที่ดี เหมาะสำหรับ Dinner มื้อพิเศษ ในโอกาสพิเศษ La Scala ณ The Sukhothai Bangkok ก็ยังคงเป็นคำตอบอันดับต้น ๆ ของเราไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีมานี้ ยิ่งในช่วงหลังที่ร้านทำการเปลี่ยนแปลง concept ของร้าน ให้มีความเป็น Fine Dining มากยิ่งขึ้น จากการที่เราได้มาสัมผัสในครั้งก่อน ทำให้ตัวร้านมีบรรยากาศ การตกแต่งที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเมนูอาหารแบบคอร์สที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้การกลับมาเยือนร้านนี้ในแต่ละครั้งเหมือนเป็นการเดินทางที่แตกต่างกัน
สำหรับครั้งนี้ เรามีโอกาสได้เดินทางผ่านอาหารครั้งใหม่ ในชื่อคอร์สว่า Gastronomic Journey ที่ Head Chef ชาวอิตาเลี่ยน Eugenio Cannoni ตั้งใจรังสรรค์ให้ออกมาเป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่มี twist เป็นของตัวเอง และสามารถลิ้มรสที่ได้ร้านนี้เท่านั้น จากวัตถุดิบชั้นเยี่ยมส่งตรงจากอิตาลี จะเป็นอย่างไรและน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน บทความนี้เราจะชวนคุณเดินทางผ่านส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เราได้รับครับ
Gastronomic Journey
Gastronomic Journey เป็นคอร์สพิเศษล่าสุดของร้าน โดยจะแบ่งเป็น 4 คอร์ส (2880.-) สำหรับมังสวิรัสติ 5 คอร์ส (3880.-) และ 7 คอร์ส (4580.-) และทุกคอร์สจะมี option ในการ pairing คู่กับไวน์ที่ Head Chef จับคู่มาแล้วว่าเหมาะสม โดยจะมีการจับคู่แบบ 3 แก้ว 4 แก้ว (เฉพาะอาหาร 7 คอร์ส) และ Full experience ที่ให้เราสัมผัสประสบการณ์ทั้งอาหารและไวน์อย่างเต็มที่ ซึ่งราคา Wine Pairing ก็จะแตกต่างกันไปตามคอร์สและจำนวนแก้ว หรือถ้าใครไม่ได้อยากกินแบบเป็นคอร์ส แต่อยากลองเมนูจากแต่ละคอร์สผสม ๆ กัน หรืออยากกินแค่บางเมนู ทุกเมนูในทุกคอร์สยังสามารถสั่งเป็น À la carte ได้เหมือนเดิมครับ
ส่วนเรื่องการบริการ ทางร้านได้ Manager คนใหม่ เป็นชายอิตาเลี่ยนอารมณ์ดี มีเสน่ห์ อย่างคุณ Marco รวมไปถึงพนักงานร้านคนอื่น ๆ ที่พร้อมให้บริการและยังคอยถ่ายทอด concept ของอาหารแต่ละจานและอธิบายวัตถุดิบที่เชฟใช้ หรือแนะนำลำดับในการกินเพื่อให้เราได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดตลอดระยะเวลาคอร์สอาหารครับ
แม้ในเมนูจะบอกว่าเป็น 7 คอร์ส 5 คอร์ส 4 คอร์ส แต่เอาเข้าจริงอาหารที่เราจะได้กินมีมากกว่าที่เราเห็นในเมนูครับ เพราะการเดินทางของเราเริ่มกันตั้งแต่ amuse-bouche อาหารจานเล็กขนาดพอดีคำ ที่เป็นเหมือนตัวเปิดต่อมรับรสและทำให้เราพอเห็นว่าตลอดคอร์สของเราเชฟมีไอเดียอะไรที่อยากนำเสนอบ้าง และไม่มีมาแค่จานเดียว แต่มาถึงสาม สีสันสวยงามน่ากิน ทั้งปลาแมคเคอเรลที่ข้างในเป็นหอมแดง caramelize ราดด้วยซอสชีส มีความเค็มตัดกับความเปรี้ยวหวานของหอมแดง ตามมาด้วยพริกหยวกที่ไส้ในเป็นทูน่าเนื้อเนียน และขนมปังโฮลวีตไส้ปลากระพง กินตามลำดับ ไม่นับขนมปัง Homemade ของทางร้านที่มี 4 แบบ พร้อมเนยผสมน้ำมันมะกอกจากอิตาลีทางเหนือให้กลิ่นสดชื่นที่เติมตลอดคอร์ส
การเดินทางเริ่มจากท้องทะเล และหอยทาก
หลังจากเปิดต่อมรับรสไปเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารจานแรกของเราครับ Nasello e salsa verde ปลาหิมะเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอส Salsa verde ผสมกับ Piedmontese Dashi ซุปดาชิในแบบฉบับ Piedmont ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี บ้านเกิดของเชฟ ที่เชฟดัดแปลงขึ้นมา ซึ่งเราบอกได้เลยว่าแค่จานเปิดก็ “อย่างเทพ” ด้วยความนุ่มของปลาหิมะ บวกกับความเปรี้ยวนิด ๆ ของ Salsa verde และความอูมามิของดาชิ ให้รสชาติที่ซับซ้อน แต่สามารถเพลิดเพลินกับมันได้ง่าย ๆ ยิ่งมาจับคู่กับไวน์ขาวที่ทางเชฟเลือกมาแล้ว ให้ความสดชื่นเสริมกันอย่างลงตัว
จานต่อไปยังเป็นอาหารทะเล Ostrica, Capperi e gorgonzola เป็นหอยนางรมตัวใหญ่ในซอสชีสกอร์กอนโซล่าหรือบลูชีส พร้อมด้วย capers จานนี้รสจะเริ่มหนักแน่น เต็มปากเต็มคำขึ้นจากซอสชีส แต่ไม่ได้มีกลิ่นฉุนของบลูชีสออกมามากนัก แต่จะมีความเค็มมัน เตรียมความพร้อมให้เราเข้าสู่อาหารที่เริ่มหนักมากยิ่งขึ้น
จานสุดท้ายที่เราจัดให้อยู่ในหมวด Starter คือ Lumache, Cavolo fermentato e alghe เป็นหนึ่งในจานที่ทางร้านตั้งใจนำเสนอให้เราได้ลิ้มลอง เพราะนี่คือหอยทาก Escargot เป็นหอยทากที่เลี้ยงในฟาร์มออแกนนิคในอิตาลีที่เชฟนำเข้ามาเพื่อปรุงอาหารจานพิเศษนี้โดยเฉพาะ และยังสามารถหากินได้แค่ที่ร้านนี้เท่านั้น แม้คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินกับการกินหอยทาก อาจจะไม่ถูกปาก แต่เราบอกได้เลยว่าถ้ามาแล้วใครที่ไม่เคยกินต้องเปิดใจดูสักครั้งครับแล้วรับรองว่าจะติดใจ ซึ่งวิธีการปรุงอาหารจานนี้ก็มีความซับซ้อนมากขึ้นจากจานก่อน ๆ โดยเฉพาะตัวซอสที่มีส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงหลายอย่างจนเป็น layer ของรสชาติ ด้านบนมีผักกาดดองรสเปรี้ยว ซอสที่มีความมันของกะทิและสาหร่าย และตัวหอยทากที่ปรุงอย่างดี จานนี้หากกินทีละอย่างอาจจะรู้สึกว่ารสชาติแต่ละส่วนมันโดดจากกัน แต่ถ้ากินทุก layer พร้อมกันจะลงตัว และตบท้ายด้วยไวน์สำหรับ pairing ยิ่งเยี่ยมเลยครับ
จานหลักที่ไฮไลท์คือเนื้อและนกพิราบ
จานที่ 4 จะเริ่มขยับเข้าสู่ main course หลังจากเรียกน้ำย่อยและเปิดต่อมรับรสกันจนกระเพาะเริ่มทำงานและเรียกร้องหาอาหารที่หนักขึ้น เชฟจึงขยับมาเป็นอาหารจานพาสต้าบ้าง นั่นคือ Ravioli di zucca, Scampi e lardo หรือ ราวิโอลีฟักทอง ที่วางบนหน้าด้วยกุ้งลังกู้สตีน คู่กับ colonnata lard (มันหมูหมักจาก Tuscany) cream sauce แต่งมาด้วย Puree ฟักทองในรูปของดอกไม้ เมื่อกินมาถึงจานนี้เราจึงเริ่มเห็นวิธีการแต่งจานของเชฟชัดเจนขึ้น ว่าต้องการจัดสีของอาหารแต่ละจานให้อยู่ในสีเดียวกัน ตัวราวิโอลีมา 5 ตัวใหญ่ ๆ ไส้เต็ม ตัวกุ้งลังกู้สตีนเนื้อหวาน เข้ากับ colonnata lard cream sauce ที่มันเค็มนิด ๆ และมีความหอม กินคู่กันทุกอย่างแล้วหวาน ๆ มัน ๆ ลงตัว
ต่อมาเป็น Aragosta, Topinambour e nocciole หรือกุ้ง Brittany lobster เสิร์ฟพร้อม Jerusalem Artichoke และซอสจากถั่วเฮเซลนัท กุ้งล็อบสเตอร์จากเขต Brittany ของฝรั่งเศสที่มีเนื้อมีความเด้ง กรอบ และหวานกว่าล็อบสเตอร์ที่อื่น ๆ โรยมาด้วย Jerusalem Artichoke พีชหัวในตระกูลดอกทานตะวัน ที่นำไปทำให้คล้ายมันฝรั่งทอดกรอบแผ่นบาง เมื่อกินกับซอสจากเฮเซลนัทที่มีความหอม ทำให้ได้ความ nutty และเคี้ยวมันจากความเด้งและกรอบของกุ้ง จากนี้ใครชอบล็อบเตอร์บอกเลยว่าหลงรักแน่นอน
มาที่จานเนื้อกันบ้าง สำหรับจานเนื้อเนื่องจากทีมเราไปกันหลายคน ทางร้านจึงให้เราเลือกว่าจะรับเป็นเนื้อวัวหรือนกพิราบ โดยเนื้อวัวโดยปกติจะเสิร์ฟในคอร์ส 7 เมนู เป็น Manzo, Ricci di mare, Cozze e cime di rapa เนื้อ Dry age Angus Tenderloin ที่วางมาด้วยหอยเม่นอิตาลี หนึ่งในอาหารรสเลิศจากท้องทะเลอิตาลี พร้อมซอสจากหอยเม่นและ Green Turnips อิตาลี ตัวเนื้อย่างมาในความสุกกำลังดี เนื้อนุ่ม ชิ้นไม่ใหญ่และไม่เล็กเกินไป มีรสชาติอูมามิจากหอยเม่นมาช่วยเสริม กินกับผักที่เสิร์ฟมาด้วยเข้ากันมากครับ
ส่วนอีกจาน Piccione, Cavolo e ciliegie ปกติจะเสิร์ฟในคอร์ส 5 เมนู เป็นนกพิราบที่ทางเชฟนำเข้ามาจากฟาร์มในอิตาลี ตัวใหญ่ เนื้อแน่น เมื่อมาปรุงแล้วไม่มีกลิ่นสาบ แถมยังมีความหอมและรสหวานเปรี้ยวของเชอร์รี่ที่เชฟเสิร์ฟมาคู่กัน หากใครอยากลองกินนกพิราบ เมนูนี้เหมาะในการเริ่มต้นมากครับ หรือใครที่ชอบกินนกพิราบอยู่แล้ว จานนี้รับรองว่าคุณต้องชอบแน่นอน นอกจากนี้ทางเชฟยังเลือกเสิร์ฟมาในสามรูปแบบ คือเนื้อนกพิราบ 2 ชิ้นโต ขานกพิราบ และตับนกพิราบบดกับแครกเกอร์ ทำให้เราลิ้มลองรสชาติจากส่วนต่าง ๆ ของนกพิราบได้หลากหลาย
สิ้นสุดการเดินทางที่ของหวาน
หลังจานหลักจบไป ก็เริ่มขยับเข้ามาสู่ของหวาน แต่ก่อนของหวานจะเสิร์ฟทางร้านมี Pre dessert ถ้วยเล็ก ๆ ล้างปาก โดยเสิร์ฟเป็นเกรปฟรุต กับ Aperol spritz Cocktail ที่นำไปทำเป็นเกล็ดน้ำแข็งเพื่อปรับต่อมรับรสกันสักนิด
และก็มาถึงคิวของหวานจานหลักครับ Nocciola, Cardamomo nero e cynar ตัวมูสเป็นถั่วเฮเซลนัท ผสมกับเครื่องเทศ Black Cardamom ด้านในตัวมูส ด้านบนเป็นไอศกรีมที่ทำจาก Cynar (เหล้า Apéritif ของอิตาลี) พร้อม Sponge cake และครีมที่ทำจากกาแฟ เป็นของหวานที่มีความ nutty และแอบมีกลิ่นเครื่องเทศหน่อย ๆ แต่พอกินรวมกันแล้วก็แอบรู้สึกว่ามีความคล้ายกับ Tiramisu พอสมควรเลยครับ แต่ก็เป็น Tiramisu ที่มี twist ของตัวเอง
เสร็จแล้วยังมีการเสิร์ฟชา – กาแฟปิดท้าย พร้อมขนมคำเล็กอีก 3 คำ เป็นการปิดท้ายแบบท้ายที่สุด สำหรับคอร์ส 7 เมนูของเรา ที่พอนั่งกินจริง ๆ แล้วนับ ๆ ดูก็ได้กินอาหารไปราว ๆ 14 เมนูเลยครับ ใช้เวลาไปทั้งสิ้นราว 3 ชั่วโมง เป็นประสบการณ์เดินทางผ่านอาหารและไวน์ที่เพลิดเพลินและเต็มอิ่มมากจริง ๆ ครับ
หากใครที่กำลังมองหาร้านอาหารอิตาเลี่ยนแบบ Fine Dining ที่บรรยากาศมีความเป็นส่วนตัว ที่ใช้วัตถุดิบชั้นยอดจากอิตาลีที่นำมาปรุงจนออกมาเป็นเมนูสุดสร้างสรรค์ รสชาติเยี่ยมที่หากินที่ได้นี่เท่านั้น เราขอแนะนำว่าคอร์สอาหารของ La Scala จะไม่ทำให้ค่ำคืนของคุณผิดหวัง ไม่ว่าคุณจะชวนคนพิเศษของคุณไปกิน หรือไปกับเพื่อน ครอบครัว แม้กระทั่งการไปสัมผัสประสบการณ์นี้คนเดียว ก็จะเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษแน่นอนครับ
อย่างไรก็ตามแนะนำว่าถ้าจะไปกิน ควรจองล่วงหน้าก่อนจะเป็นการดีครับ และที่สำคัญควรไปเร็วสักนิด เพราะประสบการณ์ทั้งหมดนี้อาจต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงทีเดียว จะได้กินจบคอร์สไม่ดึกเกินไปนัก