หากพูดถึงสูทฝีมือคนญี่ปุ่น เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะไว้วางใจในเรื่องความละเอียดงานรวมถึงความประณีตของงานอย่างแน่นอน สำหรับ MenDetails เองก็มั่นใจในงานฝีมือของคนญี่ปุ่นมากเช่นกัน โดยหนึ่งในห้องเสื้อสูทญี่ปุ่นที่เราเคยมีโอกาสตัดรวมถึงอยากแนะนำให้ผู้อ่านได้สัมผัสผลงานของเขา ได้แก่ Sartoria Raffaniello ครับ เราเพิ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของแบรนด์ คือ คุณ Noriyuki Higashi หรือที่เราเรียก ฮิงาชิซัง ถึงเรื่องราวความเป็นมาของสูทในแบบฉบับของเขา โดยฮิงาชิซังมาจัด Trunk Show ที่ร้าน The Decorum เมื่อวันที่ 3 – 4 กันยายนที่ผ่านมานั่นเอง และครั้งนี้เป็นการตัดแบบ Bespoke ที่ถือว่าพิเศษกว่าครั้งไหน ๆ
อยากทำสูทในแบบที่ตัวเองต้องการ
เป็นที่มาของ Sartoria Raffaniello
“การเป็น Tailor ให้กับร้านที่คนอื่นเป็นเจ้าของ ไม่ได้มีอิสระมากขนาดนั้น การเปิดร้านเองจึงเป็นคำตอบ” ฮิงาชิซังกล่าว
ฮิงาชิซังเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการเปิดห้องเสื้อแห่งนี้ขึ้น เดิมทีฮิงาชิซังเป็นช่างตัดสูทของแบรนด์สูท RTW ชื่อดังแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นมาก่อน และก็มีการถ่ายรูปผลงานของตัวเองลง Instagram ส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ ผู้ชายทั่วโลกจึงมีโอกาสเข้ามาเห็นผลงานและให้ความสนใจมากมาย ในช่วงเวลานั้น ฮิงาชิซังมีหลายสิ่งที่อยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสูทที่ตัวเองตัดเย็บ แต่การทำงานเป็นช่างตัดสูทให้กับร้านที่คนอื่นเป็นเจ้าของ ทำให้เขาไม่ได้มีอิสระมากพอที่จะตัดเย็บได้ตามแบบที่ตนเองวาดภาพไว้จริง ๆ วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจเปิดร้านของตัวเองขึ้นก็เพราะอยากผลิตสินค้าในสไตล์ของตนเองจริง ๆ นั่นล่ะครับ
Japanese Neapolitan เอกลักษณ์ของสูทจาก Sartoria Raffaniello
เมื่อพูดถึงเอกลักษณ์ของ Sartoria Raffaniello คงไม่มีใครให้คำตอบไปได้ดีกว่าเจ้าของแบรนด์ เราสอบถามถึง คำจำกัดความสไตล์สูทของ Sartoria Raffaniello ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งฮิงาชิซังเรียกสไตล์ของตัวเองว่าเป็น Japanese Neapolitan ครับ
เขาเล่าว่า หลัก ๆ แล้ว เขาได้ร่ำเรียนการตัดสูทมาจากที่เมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี “ผมไปเรียนวิธีการตัดสูท ที่แหล่งของมัน ที่เมืองนาโปลีเลยครับ” เรียกว่าไปถึงถิ่นกำเนิดของ สูทสไตล์ Neapolitan เพื่อที่จะได้ตัดเย็บสูทและถ่ายทอดมันออกมาได้สมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อเข้าใจถึงสไตล์ของสูทอิตาเลียนอย่างถ่องแท้ ฮิงาชิซังก็ไม่ได้นำต้นแบบมาตัดตามทั้งหมด เนื่องจากญี่ปุ่นมีสภาพอากาศที่แตกต่างจากอิตาลี รวมถึงสไตล์ของคนญี่ปุ่นเองด้วย จึงมีการนำสไตล์สูทอิตาเลียนมาปรับให้เข้ากับความเป็นญี่ปุ่นครับ อาจเรียกได้ว่าเป็นสไตล์นาโปลีในรูปแบบญี่ปุ่น หรือ Japanese Neapolitan นั่นเองถ้าจะให้เขาจำกัดความผลงานของเขา
โดยฮิงาชิซังก็รับตัดสูททั้งรูปแบบ MTM และ Bespoke สำหรับการตัดแบบ MTM จะเป็นการผลิตโดยโรงงาน “โครงร่างสำหรับชุดสูทแบบ MTM ผมจะเป็นคนวาดเองกับมือ ส่วนโรงงานจะมีหน้าที่เป็นผู้ผลิต โดยใช้เครื่องจักรในการตัดเย็บขึ้นมา” เขาอธิบายเช่นนั้น ในขณะที่การตัดเย็บแบบ Bespoke จะมีความใส่ใจในรายละเอียดที่มากกว่า ตั้งแต่การวาดแบบร่างไปจนถึงขั้นตอนการตัดเย็บด้วยมือแทบทั้งหมด ซึ่งจะผ่านมือของฮิงาชิซังแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ผ่านเครื่องจักรใด ๆ ทำให้เขาสามารถปรับแต่งได้ทุกอณู ทุกมิลลิเมตรของชุดสูทจริง ๆ
การเตรียมตัวก่อนมาตัดสูทและเรื่องสไตล์ของลูกค้าที่ต่างกัน
สำหรับคนที่สนใจการตัดสูทแบบ Bespoke หรืออยากมาตัดสูทกับฮิงาชิซังนั้นก็มีคำแนะนำสำหรับการเตรียมตัวก่อนมาวัดตัวตัดสูทอยู่เล็กน้อยครับ ฮิงาชิซังแนะนำว่าอยากให้ลูกค้าที่จะมาตัดสูทสวมใส่เสื้อผ้าหรือกางเกงที่พอดีตัวมาในวันวัดตัวครับ “อยากให้ใส่เสื้อผ้าที่พอดีตัวมาเลย” ฮิงาชิซังอธิบายเสริมว่า หากใส่เสื้อผ้าหลวมๆ หรือชุดสไตล์ Oversized แล้วมาวัดตัว จะส่งผลให้ตัดชุดสูทออกมาพอดีตัวได้ยากครับ การใส่เสื้อผ้าหลวมจะทำให้เขาทำงานยากขึ้น
นอกจากนั้นแล้วเรายังได้พูดคุยถึงความแตกต่างของลูกค้าไทยกับญี่ปุ่นที่เลือกมาตัดสูทกับเขาด้วยครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง “ก่อนอื่นเลย เรื่องสัดส่วนร่างกายคนไทยนั้นต่างกับคนญี่ปุ่น คนไทยจะมีร่างกายช่วงล่างตรงสะโพกค่อนข้างใหญ่ เลยทำให้การตัดกางเกงให้พอดีค่อนข้างยากมาก” เขากล่าวเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นคนเอเชียเหมือนกัน แต่ว่า body shape ของคนแต่ละชาตินั้นก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันไปอยู่ดีครับ
“ในส่วนของกางเกง คนไทยจะชอบระดับของเอวค่อนข้างต่ำกว่าคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ บางคนก็อาจจะชอบใส่หลวม ๆ เพราะว่าใส่แล้วขยับตัวง่าย” ฮิงาชิซังเสริมถึงสไตล์ที่ลูกค้าคนไทยชอบไปตัดสูทกับเขาครับ
เมื่อมีสไตล์ที่ลูกค้าชอบ ก็ย่อมต้องมีสไตล์ที่คนตัดสูทเป็นฝ่ายแนะนำได้บ้าง ทีมงาน MenDetails ขอให้ฮิงาชิซังแนะนำเนื้อผ้าและสีสำหรับตัดสูทที่เหมาะกับคนไทยให้สักหน่อย โดยเขาเลือกผ้าที่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทยอย่างผ้าวูลประเภท High Twist เพราะว่าเป็นผ้าโปร่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก มีเอกลักษณ์ของผ้าที่มีความด้าน (Matte) ไม่เงาวูบวาบ อีกทั้งเป็นผ้าที่ยับยาก จึงดูแลรักษได้ง่ายกว่า ส่วนในเรื่องของสีสูท คุณฮิงาชิ แนะนำเป็นสีกรมท่า หรือ สีเทา เพราะมองว่าคนไทยก็เป็นชาวเอเชียเหมือนกัน ก็น่าจะชอบสีพื้นฐานที่ใส่แล้วดูดีไม่ต่างจากคนญี่ปุ่นครับ
ความตั้งใจที่อยากให้สูทญี่ปุ่นเป็นสูทอันดับหนึ่ง
“นี่คือบ่อเกิดของความปรารถนาอันแรงกล้าของผม ความฝันของผม ที่จะทำให้ญี่ปุ่นเป็น Sartoria ที่เยี่ยมที่สุดของโลก”
ในช่วงท้ายเราได้รับรู้ถึง Passion ที่ฮิงาชิซังมีต่อเรื่องการตัดสูทครับว่าเขาอยากให้ทิศทางในอนาคตเป็นไปอย่างไร เขาเล่าย้อนกลับไปในวันที่ตัวเองเริ่มต้นไปดูงานที่อิตาลี ได้รับประสบการณ์และองค์ความรู้ต่าง ๆ กลับมาพัฒนาให้กับการตัดสูทที่ญี่ปุ่น
“ผู้คนมักยกย่องอิตาลีว่าเป็นหนึ่งในเรื่องการตัดสูท แต่สักวันหนึ่งผมอยากทำให้ร้านตัดสูทของญี่ปุ่นเป็นที่หนึ่งของโลกให้ได้ ผมมีความตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ” ฮิงาชิซังกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น โดยที่เขาไม่ได้เจาะจงถึงแบรนด์ตัวเองเพียงแบรนด์เดียว แต่กล่าวรวมถึงแบรนด์สูทญี่ปุ่นทั้งหมด ความปรารถนาของเขา คือ อยากให้สูทญี่ปุ่นได้รับการยกย่องว่าเยี่ยมที่สุด จากจุดเริ่มต้นที่ตัวเขาสนใจเรื่องสูทจึงที่ไปเรียนตัดสูทที่อิตาลี ในอนาคตเขาตั้งใจจะเปลี่ยนให้ชาวต่างชาติอยากมาเรียนรู้การตัดสูทจากญี่ปุ่นแทน
ทุกครั้ง ๆ ที่ได้พบกับฮิงาชิซัง เราจะเห็นเขาอยู่ในชุดสูทที่ดูสวยงามพอดีตัวเสมอ เราจึงมีคำถามส่งท้ายเพื่อถามความคิดเห็นเขาว่า สำหรับคุณฮิงาชินั้น Well dressed man หรือผู้ชายที่แต่งตัวได้ดี ควรแต่งตัวอย่างไร? ซึ่งคำตอบที่เราได้รับไม่ใช่ว่าผู้ชายที่แต่งตัวดีจะต้องใส่สูทเพียงเท่านั้น คุณฮิงาชิอยากให้ผู้ชายทุกคนเข้าใจว่าตนเองเหมาะกับของแบบไหน ที่สำคัญคือ ขอให้มีสไตล์เป็นของตนเอง
จากอิตาลีสู่ญี่ปุ่น จากช่างตัดสูทสู่การเป็นเจ้าของร้านสูท การเดินทางของฮิงาชิซังก็ดูจะมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากทีเดียว และทุกครั้งที่ MenDetails ได้ดูวิธีการทำงานของเขาเวลาที่เขามาไทย เห็นขั้นตอนการวัดตัวอย่างละเอียด การเตรียมผ้าหลากหลายมาให้ลูกค้าเลือก ทำให้เรามั่นใจได้ว่าสูทจากฮิงาชิซังจะเป็นผลงานที่ประณีตและสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี