Yakitori แม้ชื่อของมันจะเแปลว่า “ไก่ย่าง” จากคำว่า Yaki (ย่าง) กับ Tori (ไก่) แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นที่เข้าใจกันถึงประเภทอาหารย่างเสียบไม้จากญี่ปุ่น ที่ไม่ได้จำกัดแค่เนื้อไก่อย่างเดียว และอาหารชนิดนี้เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปเมื่อไปญี่ปุ่นที่ขายแบบทั้งแผงลอยหรือเป็นร้านก็มี บ้างก็เป็นหนึ่งในเมนูของร้านอิซากายะ (ร้านเหล้าญี่ปุ่น) สาเหตุที่ได้รับความนิยมเพราะกินง่าย รสชาติอร่อย จะกินเล่นหรือกินจริงจังก็ได้ทั้งนั้น เป็นอาหารที่ไม่ได้ดูหวือหวาหรืออลังการใด ๆ นอกจากกลิ่นหอมเวลาที่มันถูกย่างบนเตาที่เรียกน้ำย่อยของเราได้ดีนัก
แม้จะเป็นอาหารที่พบเห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น แต่เมื่อ MenDetails ลองนึกดูถึงร้านที่เชี่ยวชาญด้าน Yakitori ในประเทศไทย กลับนึกออกไม่กี่ชื่อเท่านั้น และหนึ่งในนั้นที่เราได้ยินชื่อเสียงบ่อย และยังเรียกได้ว่าเป็น “ตำนาน” ในกรุงเทพฯ ก็เห็นจะมีร้าน Kikyo Yakitori นี่ล่ะครับ นอกจากจะเป็นตำนานแล้ว ยังมีชื่อเสียงว่าที่ตั้งร้านช่างลึกลับยิ่งนักอีกด้วย
ในครั้งนี้เราจึงเดินทางไปตามหาและลิ้มลอง Yakitori ของร้าน Kikyo Yakitori และนำมาบอกเล่าให้ทุกท่านทราบ เผื่อใครนึกอย่างกิน Yakitori รสชาติอร่อย ในร้านที่บรรยากาศคล้ายกับได้ไปนั่งในร้านที่ญี่ปุ่น จะได้ตามไปโดนกัน พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่มาของอาหารเสียบไม้ชนิดนี้ให้ได้รู้จักกันสักเล็กน้อยครับ
อาหาร Street Food ที่ย้อนกลับไปได้ถึงยุค Edo
มีบันทึกและหลักฐานว่า คนพื้นเมืองบนเกาะญี่ปุ่นมีการกินเนื้อสัตว์ปีกมาตั้งแต่สมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นการล่านกป่ามากิน ก่อนที่จะมีการนำไก่มาเลี้ยงเอาไข่และเนื้อมาเป็นอาหารช่วงยุคหินใหม่ ต่อมาในยุค Heian (794–1185) ญี่ปุ่นกลายเป็นสังคมเกษตรกรรมมากขึ้น มีการปลูกข้าว และการเข้ามาของศาสนาพุทธที่ได้รับอิทธิจากจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ทำให้การกินเนื้อสัตว์อย่างวัว ม้า ไก่ เป็นเรื่องต้องห้าม ใครที่ถูกจับได้ว่ากินมีโทษถึงตาย ทำให้คนต้องล่านกป่า ก่อนที่กฎนี้จะถูกเปลี่ยนในยุคต่อมา
ส่วนต้นกำเนิดของ Yakitori แบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ เริ่มต้นขึ้นในช่วงยุค Edo (1603–1868) มีบันทึกสูตรการทำไก่ย่างเสียบไม้ที่มาจากปี 1682 และในยุคต่อมาอย่าง Meiji (1868–1912) เริ่มมีการตั้งร้านขาย Yakitori แบบแผงลอยเกิดขึ้น ที่ใช้ทั้งเนื้อไก่ไปจนถึงเครื่องใน ในการนำมาย่าง รวมถึงเริ่มมีการใช้เนื้อวัวและหมูมาย่างเช่นกัน แต่คนก็ยังคงเรียกอาหารแบบนี้รวม ๆ ว่า Yakitori อยู่ดี
ในสมัย Showa (1926–1989) ผลจากสงครามโลกและโรคระบาดในไก่ทำให้ราคาเนื้อไก่พุ่งขึ้นสูง และส่งผลไก่ในญี่ปุ่นแทบสูญพันธุ์ ทำให้เกิดร้านอาหาร Yakitori ชั้นสูงขึ้นมา ก่อนที่ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 จะมีการผสมพันธุ์ไก่ที่ทนทานต่อโรค และชาวอเมริกันที่เดินทางมาญี่ปุ่นในยุคนั้นนำพันธุ์ไก่เข้ามา ทำให้ราคาของ Yakitori ถูกลง และทำให้มันกลายเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นจนเกิดร้านขาย Yakitori ในเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ปัจจุบันเราสามารถหาร้าน Yakitori ได้ทั่วไปในญี่ปุ่น และเราสามารถแบ่ง Yakitori หลัก ๆ ได้ 2 ประเภท คือ แบบทาซอส หรือทาเกลือ ซึ่งอวัยวะบางอย่างก็เหมาะกับการทาซอส และบางอย่างก็เหมาะกับการทาเกลือ บางร้านอาจจะให้เราเลือกได้ว่าจะเอาเป็นทาซอสหรือเกลือ ในขณะที่บางร้านจะกำหนดมาเลยว่าส่วนนี้ร้านจะมาซอสเท่านั้น นอกจากไก่และเครื่องในไก่ที่เรียกได้ว่าแทบจะเอาไก่ทั้งตัวมาย่าง ไล่ตั้งแต่เนื้อส่วนต่าง ๆ หนัง ตับ หัวใจ ปีก หากเราไปร้าน Yakitori แล้วเจอประเภทอาหาร Kushiyaki ในเมนูก็ไม่ต้องงงนะครับ เพราะมันคืออาหารเสียบไม้ย่างอื่น ๆ นอกจากไก่นั่นเอง เพราะ Kushi แปลว่า “ของ” เมื่อมารวมกับ Yaki จึงกลายเป็น ของเสียบไม้ย่างนั่นเอง
Kikyo Yakitori ร้านเก่าแก่ในกรุงเทพ ที่เปิดมาแล้วเกือบ 40 ปี
Kikyo Yakitori เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาย่างเข้าปีนี้ปีที่ 39 แล้ว ทุกไม้ย่างโดย “ลุงโอตะ” เจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นจากจังหวัดนีงาตะที่มาปักหลักในเมืองไทย และเปิดร้านที่เรียกได้ว่าเป็น Yakitori ร้านแรกในกรุงเทพขึ้นมา
แต่สิ่งที่เป็นที่เลื่องลือนอกจากรสชาติอาหารแล้วก็คงเป็นเรื่องที่ตั้งร้าน หากใครที่เดินทางมาแนะนำว่ามา BTS น่าจะสะดวกกว่า โดยมาลงที่สถานีศาลาแดง แล้วเดินเลยสีลมซอย 4 เลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ จะเจอ Foodland ข้าง ๆ จะมีทางขึ้นลานจอดรถ ให้เดินทะลุเข้าไปในลานจอดรถจะเห็นทางเชื่อมไปสู่ตัวร้าน เรียกได้ว่าลึกลับสุด ๆ อธิบายอย่างเดียวอาจไม่เห็นภาพ เราจึงแนะนำให้เปิด Map แล้วปักหมุดหา Foodland ให้เจอครับ
หลังจากที่มาถึงร้าน ตามธรรมเนียนร้านลักษณะนี้ของญี่ปุ่น เราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไป ร้านก็มีตู้ใส่รองเท้าเรียบร้อย ตัวร้านดูเก่าสักนิด แต่ให้ความรู้สึกเหมือนได้มานั่งในร้านยากิโทริแบบ Local ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ ทั้งโปสเตอร์ หรือป้ายเมนูที่เป็นภาษาญี่ปุ่น ไปจนถึงของตกแต่งร้าน ให้บรรยากาศคล้ายร้านอิซากายะ เหมาะกับการพากลุ่มเพื่อนมานั่งกิน พร้อมกับแลกเปลี่ยนบทสนทนาประสาเพื่อน
ร้านมีทั้งที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ สำหรับนั่งคนเดียวหรือสองคน นั่งกินไปดูลุงโอตะปิ้ง Yakitori ไปด้วยเพลิน ๆ (และถ้าใครสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ ก็สามารถชวนลุงโอตะคุยได้ด้วยเช่นกัน) แต่ถ้ามาเป็นกลุ่มก็จะมีที่นั่งเป็นโต๊ะให้ ร้านนี้คะเนคร่าว ๆ น่าจะนั่งได้สูงสุดราว 15 คน และลูกค้าต่างมากันไม่ขาดแม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ทางร้านจึงบอกว่าต้องจองก่อนเท่านั้น
Yakitori หอม ๆ กับอาหารอื่น ๆ ที่มีให้เลือกมากมาย
มาถึงร้าน Yakitori เราก็สั่ง Yakitori แบบจัดเต็ม ปกติที่เราคุ้นเคย มันจะขายแบบทีละไม้ แต่สำหรับร้านนี้เขาจะขายแบบ 3 ไม้ครับ เราสั่งไปทั้ง เนื้อไก่ เนื้อไก่กับต้นหอมญี่ปุ่น หนังไก่ หัวใจไก่ ลูกชิ้นไก่สับ หัวใจไก่ ท้องไก่ ตับไก่ ทั้งหมดนี้รายการละ 90 บาท มาทีละ 3 ไม้ ยกเว้นปีกไก่ที่มา 2 ไม้ กับ ส่วนน่องที่มาแบบเป็นชิ้นใหญ่หั่นมาเป็นชิ้น ๆ ราคา 120 บาท นอกจากนี้ยังมีเนื้อหมูเสียบไม้ย่างเช่นกัน มา 3 ไม้ 90 บาท เช่นเดียวกับเนื้อไก่ โดยรวมราคาไม่แพงเทียบกับปริมาณเนื้อที่ได้
หากให้อธิบายรสชาติของทุกอย่างอาจจะยากเกินไป เราจะขอพูดถึงแค่บางอย่างที่เราชอบมาก อย่าง หัวใจไก่ ที่ย่างไก่แล้วราดซอสมานิด ๆ รสชาติกำลังดี, ตับไก่ที่ไม่แห้ง นุ่ม หอม มีความครีมนิด ๆ แม้แต่คนที่ไม่ชอบตับก็น่าจะกินได้อร่อย, หนังไก่ ส่วนที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ เขาเอาไปต้มก่อนแล้วค่อยเอามาย่าง ได้ความหนึบหนับกับกลิ่นเตาถ่านหอม ๆ และ เนื้อไก่กับต้นหอมญี่ปุ่น ที่เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่ร้าน Yakitori ต้องมีก็ทำได้รสชาติดี ทั้งเนื้อไก่ที่ย่างไม่แห้งและตัวต้นหอม
นอกจาก Yakitori แล้ว ร้านยังมีเมนูอื่น ๆ ให้เลือกสั่งอีกมากมาย แต่ที่พลาดไม่ได้ คือ ราเมงเย็น หรือ Zaru Ramen (130.-) หรือถ้าใครไม่ชอบเส้นราเมง เขาก็มีเป็น Somen ครับ เป็นเส้นราเมงเย็นจุ่มกับซอส ให้ความรู้สึกสดชื่นกินกับไก่ย่างได้เข้ากันมาก ๆ หรือใครอยากกินข้าว เขาก็มีข้าวปั้น Onigiri (100.-) มีทั้งไส้บ๊วยและไส้ปลาแห้งคู่กัน และร้านยังมียากิโซบะ ราเมง หรือข้าวหน้าปลาไหลเป็นอาหารหลักด้วยนะครับ แต่ที่เราสั่งมาก็เยอะมากแล้วเลยขอเก็บไว้มากินในโอกาสหน้า
ใครที่ไม่อยากกินอาหารที่หนักท้อง ร้านก็มีอาหารกินเรื่อย ๆ สไตล์อิซากายะเช่นกัน ที่เราแนะนำก็จะเป็น เต้าหู้เย็น (70.-) ราดซอสโชยุได้ความเค็มนิด ๆ กับความสดชื่นของเต้าหู้และขิง หรือของเสียบไม้อื่น ๆ อย่าง เห็ดหอมย่าง และ Kushikatsu ก็อร่อยเช่นกันครับ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี หรืออยากกินอะไร สามารถพูดคุยกับ พี่รัก พนักงานคนเก่งที่ทั้งเดินเสิร์ฟอาหารและรับออร์เดอร์ด้วยตัวคนเดียวได้ครับ รับรองว่าพี่รักสามารถแนะนำอาหารที่ถูกใจเราได้แน่นอน
Kikyo Yakitori เป็นร้าน Yakitori ที่ย่างโดยคนญี่ปุ่นแท้ ๆ ด้วยบรรยากาศของร้านที่เหมือนกับร้าน Local ในญี่ปุ่น กับอาหารรสชาติอร่อย การที่ร้านเปิดมาแล้วเกือบ 40 ปี แม้ร้านจะมีทางเข้าที่ลึกลับและตำแหน่งร้านที่พอตกดึกดูจะไม่น่าไว้ใจสักหน่อย แต่จำนวนลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสายก็เป็นเครื่องยืนยันในความเป็นตำนานความอร่อยของร้านได้อย่างดี ที่สำคัญร้านนี้ทำอาหารไม่นาน เราแนะนำให้สั่งแต่พอดี ไม่พอค่อยสั่งเพิ่มครับ โดยเฉพาะ Yakitori ที่ควรกินร้อน ๆ ถึงจะอร่อย
ร้านอยู่บริเวณ BTS ศาลาแดง แล้วหาที่ตั้ง Foodland ให้เจอ ร้านเปิดตอน 18.00 – 22.30 น. และเราควรจองก่อนไม่ว่าจะทาง Facebook หรือโทรไปที่ร้านนะครับ ใครที่อยากชวนเพื่อนไปกิน Yakitori อร่อยในบรรยากาศญี่ปุ่น ร้านนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ