ในช่วงเวลาที่ผ่านมา กระแสของร้านอาหารแบบ Chef Table เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ค่อนข้างมาก อาทิเช่น Seasoning 36 เป็นต้น ครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสดี ที่ MenDetails ได้มีโอกาสลิ้มลองอีกหนึ่ง Chef Table ที่ขึ้นชื่อว่า รสชาติดีเยี่ยม คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ แถมจองยากสักนิด กับ Keow’s Table หรือ “เคี้ยวเทเบิ้ล” ซึ่งจะเรียกว่าร้านอาหารก็ไม่ใช่ ห้องอาหารก็ไม่เชิง เพราะนี่คือการเดินเข้ามาทานอาหารแบบ Fine Dinning ในบ้านของเชฟติ๊ก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จต่าง ๆ มากมายของ Keow’s Table แห่งนี้ ว่าแล้วก็ ตาม รีวิว ของพวกเรามาได้เลยครับ
สำหรับที่มาของคำว่า “เคี้ยว” นั้น มาจากชื่อภาษาจีนของคุณพ่อ เชฟติ๊ก ครับ ซึ่งหมายถึงคนจีนจากโพ้นทะเลไกล แถมยังสอดคล้องกับคำว่า “เคี้ยว” ที่เกี่ยวกับอาหารการกินอีกด้วย จึงได้หยิบมาเป็นชื่อของร้าน แถมยังเล่นกับโต๊ะที่ให้บริการแขกที่มาเยือน เนื่องจากโต๊ะตัวนี้ เป็นโต๊ะที่คุณพ่อเชฟติ๊ก นั่งทานข้าวอยู่ตั้งแต่สมัยเด็กกับอากงอาม่า และที่พี่น้องอีกหลายท่าน โดยครั้งนี้ ทางร้านเสิร์ฟด้วยกันทั้งหมด 7 คอร์ส กับอาหารที่คงไว้ซึ่งความทรงจำ และการกลับมาเติมพลังที่บ้าน จากครอบครัวที่ชอบรับประทานอาหารเป็นชีวิตจิตใจ
เริ่มต้นกันด้วย เกี้ยมฉ่าย ซึ่งเป็นกับแกล้มที่ทานได้ไม่อั้น ชวนให้นึกถึงบรรยากาศครอบครัวคนจีน ที่พอเห็นจานนี้ต้องมีข้าวต้มตามมาในทันควัน รสชาติดีเลยครับ ที่สำคัญ ทางร้านทำเองอีกด้วย พอตักทานกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาสำหรับจานแรกครับ จานนี้เชฟติ๊กบอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากเต้าหู้กรอบของพม่า เสิร์ฟพร้อมถั่วและไข่เยี่ยวม้า และซอสเปรี้ยว ๆ ด้านล่าง จะทานที่ละอย่าง หรือจะทานรวมกันทีเดียวก็ได้ครับ จานนี้ Texture ดีทีเดียว มีความกรอบจากเต้าหู้ทอด ความมันจากถั่ว หอมจากไข่เยี่ยมม้า ถือเป็นจานเปิดต่อมรับรสได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
จานต่อมาคือสลัดกุ้งลายเสือ โดยนำเอากุ้งลายเสื้อตัวใหญ่ มาต้มในน้ำผสมดาชิและสาเก ทานคู่กับซอส Presto ด้านล่าง ชีส Stracciatella และมะเขือเทศ เนื้อกุ้งคือดีมาก ๆ ครับ ถึงขนาดต้องถามว่า นำไปต้มกับเหล้าแล้วได้ผลขนาดนี้เลยหรือ ส่วนมะเขือเทศคือหวานกำลังดี Refreshing มากทีเดียว
หลังจากนั้น เชฟติ๊กก็ได้เสิร์ฟจานที่หน้าตาคล้าย ๆ กับกบหน้ายิ้ม ซึ่งเชฟกล่าวว่า นี่คือ ต้มข่าในรูปแบบของเชฟ ที่เกิดจากความแค้นส่วนตัว เพราะเคยไปทำงานที่ร้านอาหารในต่างประเทศ แล้วเขาให้กินแต่ต้มข่าอย่างเดียว แถมไม่มีเครื่องใด ๆ ที่เป็นของแพงเลยสักอย่างเดียวในนั้น ครั้งนี้จึงทำต้มข่าแบบข้น ๆ เสิร์ฟคู่กับหอยเชลล์ตัวใหญ่ ๆ ไปเลย ท๊อปด้วยไข่ปลาแซลมอน จานนี้เรียบง่าย แต่ดุดันมากครับ รสชาติเข้มข้น เข้ากับความสดของหอยเชลล์เป็นอย่างดี
ต่อมาเป็นซุปไก่ ซึ่งใช้เวลาต้มนานถึง 48 ชั่วโมง เพื่อให้ได้น้ำซุปที่หวานหอมเป็นพิเศษ เสิร์ฟมาพร้อมกับหอมเป๋าฮื้อ เยื่อไผ่ และ เก๋ากี้ จานนี้ MDs’ ขอบอกว่า ดีมากจริง ๆ หวานละมุนมาก ๆ ส่วนตัวเนื้อหอยนั้น ปรุงได้สุกกำลังดี ไม่เหนียวเกินไป นุ่มแต่ยังสู้ฟันนิดหน่อยครับ ต่อมาคือจานหลักครับกับราดหน้าเนื้อ แต่ถ้าใครไม่ทานเนื้อ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นหมูได้เช่นกัน ตอนแรกที่เห็น นึกว่าเป็นซอสเนื้อธรรมดา แต่ที่ไหนได้ มีเส้นใหญ่ผัดหอมกระทะอยู่ด้านล่าง ส่วนน้ำราดนั้น หอม มัน มีความเผ็ดเล็กน้อย แตกต่างจากราดหน้าที่วางขายอยู่ในท้องตลาด เชฟติ๊กบอกว่า “ราดหน้าจานนี้ คุณพ่อตั้งใจทำจากความทรงจำวัยเด็ก ที่ไปช่วยอากงอาม่าถือของที่เยาวราช แล้วแวะกินราดหน้าเจ้าประจำเจ้านี้ทุกครั้ง จนร้านนี้ปิดไป คุณพ่อเลยทำขึ้นจากความทรงจำที่เคยทานมานั่นเอง” จานนี้เหมือนจะธรรมดา แต่จริง ๆ คือ ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากน้ำราดแล้ว ยังมี Short Ribs ที่ย่างออกมาได้ดีมากจริง ๆ หอมจนอยากขอเพิ่มอีก 1 จานเลยครับ
มาถึงจานที่รอคอยครับ กับ กุ้งแม่น้ำทอดน้ำมัน จานนี้เหมือนทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องมาลองด้วยตัวเองสักครั้ง กับกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ ๆ นำมาทอดน้ำมัน 2 ครั้ง ครั้งแรกทอดด้วยไฟแรง ยกขึ้นพัก แล้วค่อยทอดด้วยไฟอ่อนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งใส่มันกุ้งลงไปด้วย ทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ น้ำปลาพริก ที่เชฟติ๊กเลือกซื้อน้ำปลาสุดพิเศษมาจากประจวบฯ โดยเฉพาะ หอม เค็ม แต่ไม่เค็มโดด หรือจะทานกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดสูตรเฉพาะของที่บ้านเชฟติ๊กก็ได้เช่นเดียวกัน กุ้งที่เห็นในรูป เหมือนจะตัวเล็กนะครับ แต่ตัวจริงคือใหญ่มาก ๆ จนเริ่มรู้สึกว่า เราจะทานหมดได้จริง ๆ หรือป่าวนะ
เท่านี้ยังไม่พอครับ มาทั้งที ต้องทานเมนู Add-on ไปด้วยเลย กับ Pasta ทะเล ที่มีทั้งหอย กุ้ง ปลาหมึก แบบจัดเต็ม ผัดในน้ำมันมะกอก เส้น Spagettini ที่เส้นค่อนข้างเล็ก จะได้เข้าคู่กับน้ำมันมะกอกและกระเทียม จานนี้รสชาติดีเลยครับ รส Homie แบบเพื่อนทำให้ทานตอนไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่เพื่อนที่ทำอาหารโคตรอร่อยนะครับ ถึงจะผัดแบบนี้ได้ เส้นเด้งกำลังดี ส่วนเครื่องนี่ เหมือนเอาทะเลมารวมไว้ในจานเดียว จะสั่งหรือไม่สั่งก็ได้นะครับจานนี้ เพราะเชื่อว่า Full Course ทั้งหมด 7 จาน น่าจะอิ่มมากพอแล้ว แต่ถ้าอยากไปให้สุด ลองสั่งกันได้เลยครับ
ตบท้ายด้วยของหวาน ที่มีทั้งผลไม้ พุดดิ้งงาดำ แต่ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ ชาจีนที่มีอายุกว่า 40 ปี ที่คุณพ่อของเชฟติ๊กเก็บไว้ แล้วเชฟไปหยิบออกมาเสิร์ฟให้กับลูกค้า แถมมียาคลายกรด สำหรับใครที่รู้สึกว่าแน่นเกินไป รวมไปถึงขนมสมัยโบราณให้หยิบทานเล่นอีกด้วย หลังจากนั้นก็พูดคุยกันสนุกสนานเลยครับ คุณพ่อพูดถึงสมัยก่อนว่ามีร้านอร่อยเยอะแยะมากมายในเยาวราช ซึ่งหลาย ๆ ร้านก็ปิดกันไปหมดแล้ว บอกเลยครับว่า ครอบครัวนี้คือครอบครัวนักกินตัวจริง และถือเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เชฟติ๊กกล้าหลุดออกจากอาชีพเดิม แล้วลงมือทำอาหารอย่างจริงจัง จนกลายเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ เป็นมื้อที่สนุก บรรยากาศดี กับเสียงหัวเราะเหมือนมาทานข้าวบ้านเพื่อน โดยมีเพื่อนคนใหม่คือ เชฟติ๊ก และคุณพ่อคุณแม่ของเขา ร่วมวงสนทนาด้วยนั่นเอง
ใครสนใจอยากลองไปชิมดูสักครั้ง สามารถสอบถามรายละเอียดไปได้ที่ FB : Keow’s Table ได้เลยครับผม ทางร้านจะเปิดรับเพียงโต๊ะเดียวต่อรอบนะครับ รอบละประมาณ 4-6 ท่าน แนะนำให้สอบถามทางร้านเพิ่มเติม รวมถึงราคาของ Chef Table ด้วยครับผม