พูดถึงอาหารทะเลเมนูโปรดของใครหลายคน นอกจากกุ้ง หอย ปลา แล้ว เห็นทีจะขาดปูไปเสียมิได้ แต่สำหรับหลาย ๆ คน ปูเป็นสัตว์ที่กินค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะการแกะ แถมบางครั้งเนื้อในตัวปูก็น้อยนิดเสียเหลือเกิน ทำให้ปูเป็นตัว ๆ อาจจะไม่ใช่เมนูที่หลายคนนิยมสั่ง แต่ MenDetails รับรองว่า ถ้ามาถึงร้านนี้ คุณจะได้กินปูคุณภาพดี เนื้อแน่น นำมาทำอาหารอะไรก็อร่อยอย่างแน่นอน และร้านนั้นก็คือ Ministry of Crab ในซอยทองหล่อ 31 ครับ
ร้านนี้เป็นร้านสาขามาจากศรีลังกา เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปูทะเลชนิดหาตัวจับยาก เมนูปูต่าง ๆ ของเขาถูกปรุงออกมาอย่างดี ที่เราบอกได้เลยว่าคนรักปูจะต้องฟินอย่างแน่นอน และในวันนี้เราจะขอพาทุกท่านไปดูว่าร้านจากศรีลังการ้านนี้มีดีอะไรถึงสามารถมัดใจคนรักปูได้อยู่หมัด รวมถึงพาไปดูเมนูปูและอาหารทะเลต่าง ๆ ที่เราได้ไปลิ้มลองมาครับ อ่านจบแล้วต้องมีคนอยากกินปูขึ้นมาบ้างแน่ ๆ
Ministry of Crab จากความตั้งใจที่จะให้ทุกคนได้กินปูที่ดีที่สุด
Ministry of Crab ร้านแรกนั้นถือกำเนิดในกรุงโคลอมโบ ของศรีลังกา ในปี 2011 จากฝีมือของเชฟ Dharshan Munidasa ที่เป็น Chef – Co-Owner ของร้าน ร่วมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน คือ Kumar Sangakkara และ Mahela Jayawardena สองนักคริกเก็ตระดับตำนานของศรีลังกาที่ชื่นชอบการกินอาหารอย่างมาก
จุดเริ่มต้นของร้านนี้ มาจากรายการทีวีตอนหนึ่งที่เชฟ Dharshan Munidasa เป็นคนดำเนินรายการ ซึ่งก่อนที่จะมาเปิดร้านนี้ เขาก็มีร้านอาหารญี่ปุ่น Nihonbashi เป็นร้านดังของศรีลังกาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เขาเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงในประเทศ ในรายการตอนนั้นเขาทำการเจาะลึงไปถึงเรื่องของปูทะเลในศรีลังกา ที่สมัยนั้นมีชื่อเสียงจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์เพื่อใช้ในการทำ Chili crab อาหารที่ได้ชื่อว่าเป็นอาหารประจำชาติของสิงคโปร์ เพราะเนื้อที่แน่นและหวาน
แต่การส่งปูในประเทศออกไปเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้ปูดี ๆ ของศรีลังกาหายไปจากตลาดพื้นเมือง เพื่อน ๆ ของเขาจึงถามว่าทำไมเขาไม่เปิดร้านอาหารที่ทำเกี่ยวกับปูเองเลย จึงเป็นที่มาของ Ministry of Crab ที่ต้องการเสิร์ฟความอร่อยจากปูที่ดีที่สุดของศรีลังกาให้ทุกคนได้กิน
หลังจากนั้นร้านก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 2015 ก็ติดอันดับ Asia’s 50 Best Restaurants เรื่อยมาจนถึงปี 2021 แล้ว และกลายเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งของประเทศ ที่หากใครมีโอกาสเดินทางไปยังศรีลังกาต้องไปลิ้มลองร้านนี้ให้ได้
สดใหม่ พิิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้อาหารที่ดีที่สุด
เมื่อความนิยมของร้านเพิ่มมากขึ้น ร้านจึงขยับขยายไปเปิดสาขาในต่างประเทศ หนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย ที่มาเปิดในปี 2019 ในซอยสุขุมวิท 31 ด้วยการแต่งร้านสไตล์โคโลเนียลแบบร้านแห่งแรก พร้อมขนเมนูดั้งเดิมมาให้เราได้ลิ้มลอง และเชฟ Dharshan Munidasa ยังบินมาควบคุมคุณภาพอาหารด้วยตัวเองเป็นระยะ ทำให้มั่นใจว่ารสชาติและคุณภาพเหมือนนั่งกินที่ศรีลังกาแน่นอน
เพราะเป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องปู ปูของที่นี่จึงได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างดี ทั้งเรื่องขนาด ความสดใหม่ ในการเลือกปูเชฟ Dharshan Munidasa บอกกับเราว่า ต้องเลือกปูที่ข้างในเนื้อแน่น เพราะจะมีปูบางตัวที่ข้างในเนื้อน้อย มีแต่น้ำ พอมาทำอาหารน้ำระเหยก็จะทำให้ได้เนื้อไม่เต็มคำ ปูที่ขนาดไม่ได้มาตรฐาน หรือก้ามปูทั้งสองข้างขนาดไม่เท่ากัน ไปจนถึงปูตัวไหนที่ก้ามไม่ครบ ก็จะไม่เอามาทำให้ลูกค้ากินเด็ดขาด และทางร้านยังไม่เอาปูไปแช่แข็งด้วย เพราะเขาอยากให้ลูกค้าได้กินอาหารทะเลที่สดใหม่และดีที่สุด ไม่ใช่แค่ปูเท่านั้น เพราะอาหารทะเลอื่น ๆ ทั้งกุ้ง หอย ก็ได้รับการใส่ใจคุณภาพไม่ต่างกัน
ร้านนี้มีปูให้เลือกตั้งแต่ขนาด 500 กรัม ไปจนถึง ปูยักษ์ 2 กิโลกรัมที่ร้านเรียกว่า Crabzilla ที่เริ่มต้นที่ 500 กรัม เพราะทางร้านเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมเพื่อให้ปูได้เติบโต ขยายพันธุ์ ให้เรามีปูกินกันต่อไป โดยปูขนาด 500 – 900 กรัม จะมาจากจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะเชฟ Dharshan Munidasa อยากใช้วัตถุดิบพื้นเมืองที่หาได้ในประเทศ และปูของไทยมีคุณภาพดีพอที่จะนำมาทำเมนูของร้าน ส่วนขนาด 900 กรัม ถึง 2 กิโลกรัมจะส่งตรงมาจากศรีลังกา
ทางร้านยังมี Gimmick เล็ก ๆ ตรงป้ายในร้าน ที่เขาจะมีหลอดไฟที่ทำมาเป็นไซซ์กระดองปูขนาดต่าง ๆ เพราะชื่อขนาดของปู ไฟนี้จะเป็นตัวบอกว่าวันนี้ในร้านมีปูขนาดเท่าไหร่ให้เลือกสั่งบ้าง หากดวงไหนไม่เปิดแสดงว่าวันนั้นไม่มีปูขนาดเท่านั้นครับ ก็สามารถดูไฟแล้วเลือกสั่งปูขนาดที่ชอบกันได้เลย
เมนูปูที่หลากหลาย และอาหารทะเลอื่น ๆ ที่เด็ดไม่แพ้กัน
เกริ่นมาเสียยาว ถึงเวลาที่เราจะพาทุกท่านไปชมอาหารของร้านกันแล้วครับ เริ่มจากเมนูปู Signature ของร้านทั้ง 2 เมนู คือ Pepper Crab และ Garlic Chilli Crab (ราคาตามขนาดของตัวปู) ทางร้านจะใช้ปูหนึ่งตัวในขนาดที่เราเลือกมาทำเลยครับ เชฟ Dharshan Munidasa บอกว่าเราสามารถประกอบชิ้นส่วนปูกลับได้ปูตัวหนึ่งพอดี ไม่เหมือนบางแห่งที่ใช้ส่วนจากปูหลาย ๆ ตัวมาทำ แม้คนกินอาจจะไม่รู้ แต่ทางร้านใส่ใจมาก ๆ
ตัวซอส Pepper จะบดพริกไทยดำสด ที่ตัวพริกไทยจะมีความหอม เมื่อมาทำเป็นซอสจะไม่เผ็ดแสบร้อนมาก เข้ากับความหวานของเนื้อปูเต็ม ๆ คำ ตั้งแต่ส่วนก้ามจนถึงกระดอง ส่วนซอส Garlic Chilli จะมีความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนนิด ๆ ผสมกับความเป็นศรีลังกา ได้รสชาติที่เผ็ดกำลังดี กับความหอมของน้ำมันมะกอกและกระเทียม และเวลากินให้เข้าถึงอารมณ์ก็ต้องใช้มือนี่ล่ะครับ แถมไม่ต้องกลัวเลอะเพราะทางร้านจะมีผ้ากันเปื้อนมาผูกให้ถึงที่ ข้อความบนผ้าที่เขียนว่า “Keep calm and Crab on” ช่างเข้ากับการกินปูจริง ๆ แล้วหลังกินเสร็จเขาจะมีน้ำมะนาวสำหรับล้างมือมาให้ถึงโต๊ะ ไม่ต้องกลัวกลิ่นติดมือ
เราแนะนำให้ลองสั่งข้าวผัดกระเทียม หรือข้าวผัดต้นหอมของทางร้านมากินกับปู ใครจะตักข้าวใส่ลงไปคลุกกับซอสกินก็ไม่ผิดกติกา เพราะมันเข้ากันมาก ๆ โดยเฉพาะข้าวผัดเนยที่มีความเค็มมันและหอมของเนยกำลังดี คลุกกับซอส Pepper หรือ Garlic Chilli ก็เข้ากันดีมาก ๆ
นอกจากเมนู Signature ก็ยังมีเมนูน่าสนใจอื่น ๆ อีก ทั้ง Clay Pot Prawn Curry ที่กุ้งของร้านนี้ก็มีขนาดให้เลือกไม่ต่างจากปู มีตั้งแต่กุ้งกุลาดำไปจนถึงกุ้งยักษ์ที่ร้านเรียกว่า Prawnzilla เอามาทำแกงกะหรี่สไตล์ศรีลังกากินกับขนมปังปิ้งและเนยของทางร้าน หากใครอยากเพิ่มรสชาติ ทางร้านมี Pol Sambol เป็นมะพร้าวขูดปรุงรสที่คล้ายน้ำพริกของบ้านเรา เป็นสูตรประจำครอบครัว Kumar Sangakkara ที่เขาจะขูดและบดมะพร้าวกันสด ๆ ในครัวเมื่อเราสั่ง
เนื่องจากเชฟ Dharshan Munidasa เป็นลูกครึ่งศรีลังกา – ญี่ปุ่น เขาจึงหยิบเอาองค์ประกอบจากอาหารญี่ปุ่นมาผสมอยู่นิด ๆ ด้วย เราจะสัมผัสได้ถึงการใช้โชยุของญี่ปุ่น หรือวิธีการทำอาหารบางอย่างที่ใช้เทคนิคแบบญี่ปุ่นครับ อย่างเมนูหอยตลับผัดซอสเนย กินคู่กับขนมปังกระเทียม ในตัวซอสเนยเราสัมผัสได้ถึงรสของโชยุบาง ๆ ตัดกับรสเนย ทำให้ได้ทั้งความหอม และไม่เลี่ยน เอาขนมปังกระเทียมร้านปาดซอสกินบอกเลย “ฟิน” สุด ๆ
เท่าที่สังเกตดู ทางร้านมีเมนูที่ใช้เนยกับเมนูมัน ๆ เยอะพอตัว แต่แทนที่จะเลี่ยนกลับไม่เลี่ยนเลย เพราะรสชาติอาหารตัดกันพอดี รวมถึงการใช้กลิ่นอายจากการทำอาหารแบบญี่ปุ่นมาช่วยเสริมรสอูมามิ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่าแคลลอรี่จะน้อยนะครับ ใครที่กังวลเรื่องไขมันอาจจะต้องเลือกเมนูกันสักนิด
แม้จะมีเมนูอีกมากมาย แต่หลาย ๆ เมนูเราอยากให้มาลองด้วยตัวเองครับ เพราะถ้าเขียนหมดก็เกรงว่าจะยาวเกินไป แต่หลังมื้ออาหารจบแล้ว ต้องสั่ง Coconut Creme Brulee ที่เสิร์ฟมาในกะลามะพร้าวด้วยนะครับ ถือว่ามาถึงร้าน 100%
นี่เป็นร้านที่คนรักปู หรืออยากกินปูเนื้อแน่น ๆ หวาน ๆ ไม่ควรพลาด แต่ด้วยราคาที่สูงเอาเรื่องทำให้การมากินทุกวันอาจไม่เหมาะนัก แต่ถ้าต้องการฉลองหรือกินเลี้ยงในโอกาสพิเศษ ร้านนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มานั่งกินปูในบรรยากาศดี ๆ ช่วยเสริมรสให้ปูดีขึ้นอีกเยอะเลย
Ministry of Crab เปิดให้บริการทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่ 12.30 – 23.00 น. สั่งอาหารได้ถึง 21.00 น. ใครไป BTS ไปลงได้ที่สถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินต่ออีกนิดจนถึงซอยสุขุมวิท 31 ร้านจะอยู่ลึกเข้ามาในซอย ใครเอารถมาหน้าร้านก็สามารถจอดได้ครับ