รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวคราวของเฟซบุ๊ก (facebook) เครือข่ายสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด
ถ้าหากคุณผู้อ่านยังไม่ทราบก็ขอสรุปอย่างง่ายๆ ก็คือ มีบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจในอังกฤษ นามว่า Cambridge Analytica ได้นำข้อมูลของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กมากกว่า 50 ล้านคนไปใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตรงนี้ได้มีการพูดถึงกันว่า การที่ Cambridge Analytica สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กได้ ถือว่าละเมิดข้อกฎเกณฑ์ความเป็นส่วนตัว
แน่นอนว่า เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่มากครับในสหรัฐอเมริกา เพราะเรื่องนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทั้งในรูปแบบของแบรนด์เฟซบุ๊ก ภาพลักษณ์ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง และยังทำให้หุ้นของเฟซบุ๊กตกลง และสินทรัพย์ของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กหายวับคิดเป็นเงินเบาะๆ แค่ “7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” เท่านั้นเอง!?
นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติอีกครั้งหนึ่งขององค์กรยักษ์อย่าง facebook ซึ่งหากเรานึกภาพว่าตัวเองเป็น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ในสถานการณ์ดังกล่าว ก็คงจะต้องหนักใจไม่น้อยว่าจะทำอย่างไรดี แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบครับ เหรียญมันก็มีสองด้านอยู่เสมอ ด้านหนึ่งอาจจะเป็นด้านที่เลวร้าย แต่ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสและทางออกอยู่เสมอ และการศึกษาภาวะผู้นำของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ในการแก้ปัญหาในครั้งนี้ อาจทำให้เราเกิดความตระหนักขึ้นมาว่า ถ้าหากในโลกการทำงานของเราเจอปัญหาประหนึ่งเดียวกับที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเจอ ถึงที่สุดแล้วเราควรจะทำยังไง
ความรับผิดชอบ
สิ่งที่น่าสนใจจากกรณีนี้ คือ การที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ประกาศความรับผิดชอบอย่างตรงไปตรงมาถึงความผิดพลาดในเรื่องนี้ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่สำคัญ และแน่นอนเช่นกันว่า “ในโลกของการทำงาน ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด” ทุกคนล้วนแต่เคยทำผิดพลาดทั้งสิ้น จะมากจะน้อยไม่สำคัญ แต่สำคัญคือ คุณออกมายอมรับหรือไม่ ดังนั้นลูกผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ ถ้ารู้ว่าตัวเองทำผิด อย่าหาข้ออ้างแก้ตัวโน่นนี่ให้เสียเวลา ขอให้ขั้นแรกสุดคือยืดอกยอมรับและแสดงความรับผิดชอบก่อนเป็นอันดับแรก แล้วตั้งใจหามาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นลำดับถัดไป
อย่าปล่อยเวลาทิ้งไว้เนิ่นนาน
นี่คือสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดอย่างชัดเจนของเฟซบุ๊ก ในกรณีของ Cambridge Analytica เพราะหลังจากที่มีข่าวการรั่วไหลของข้อมูล การดำเนินการของเฟซบุ๊กนั้นกลับล่าช้าเหลือเกิน กระทั่งนำมาซึ่งความไม่ไว้วางใจของนักลงทุน ผู้ใช้งาน จนถึงขนาดมีการจัดตั้งแคมเปญ #deletefacebook เพื่อส่งเสียงต่อความไม่พึงพอใจในการแก้ปัญหาที่ล่าช้าของ facebook กันเลยทีเดียว
บทเรียนจากประเด็นในเรื่องนี้ หากคุณเป็นเจ้าของกิจการที่เกิดวิกฤติหรือปัญหาบางอย่างขึ้น ไม่ว่าอย่างไรคุณต้องรีบตรวจสอบความผิดปกติทุกอย่างโดยเร็วที่สุด อย่าทิ้งหรือปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนิ่นนานเกินไป เพราะนั่นอาจสร้างแรงปะทุจนกระทั่งชื่อเสียงของบริษัทต้องป่นปี้ภายในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน
รีบออกมาตรการแก้ไข
หลังจากที่คุณได้ ‘Take Action’ ถึงสาเหตุปัญหาแล้ว หน้าที่ต่อมาก็คือการออกมาตรการที่ชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้เฟซบุ๊กก็ทำได้ดีทีเดียว ดังเช่น การปรับเอาหน้าแก้ไขข้อมูลส่วนตัว และการปกปิดข้อมูลส่วนตัวหรือ “Privacy Setting” ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น มีการตรวจสอบว่ามีแอพพลิเคชั่น หรือหน่วยงานใดที่สามารถล้วงเอาข้อมูลจากเฟซบุ๊กได้อีกหรือไม่ พร้อมกันนี้ยังเริ่มต้นมาตรการที่เข้มข้นในการสั่งแบนผู้ใช้งานกรณีที่มีการนำข้อมูลไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ทันที โดยที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ยืนยันเสียงแข็งว่า “จะไม่มีการประนีประนอมใดๆ ทั้งสิ้น”
แม้ว่าการออกมาตรการดังกล่าว อาจเข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า ‘วัวหายล้อมคอก’ แต่สุดท้ายแล้วมาตรการดังกล่าวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะไม่ตัดสินใจลงมือทำอะไรเลยแม้แต่การล้อมคอก แล้วปล่อยให้วัวที่ยังเหลืออยู่ในคอกทยอยหายไปเรื่อยๆ จนหมดเกลี้ยง ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ในฐานะผู้นำจงยืดอกยอมรับผิด แน่วแน่ในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ออกมาตรการแก้ปัญหาที่เข้มข้นและฉับไว ไม่ต้องสนใจว่าจะมีใครครหาว่าเรากำลัง “ล้อมคอก” แต่ขอให้มั่นใจว่าคอกของเราต้องแข็งแรงทนทานจนยากที่จะมีใครมาพังทลายมันอีกในอนาคต นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าครับ