เมื่อพูดถึงอาชีพที่น่าอิจฉาที่สุดอาชีพหนึ่ง เชื่อว่า อาชีพนักฟุตบอลน่าจะติดอันดับต้นๆ ก็ว่าได้ เพราะด้วยรายรับของนักฟุตบอลอาชีพที่สูงมาก ตัวอย่างเช่น หากเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เล่นอยู่ในระดับลีกสูงสุดของประเทศ อย่างต่ำๆ ก็จะมีรายรับราว 4-5 หมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 2,000,000 บาท ต่อสัปดาห์) และถ้าเป็นระดับผู้เล่นขาประจำหรือเป็น “ตัวจริง” ภายในทีมแล้วล่ะก็ การรับรายได้ 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์นั้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ส่วนนักเตะระดับ “ซูเปอร์สตาร์” ก็สามารถเรียกค่าเหนื่อยแพงระยับในระดับที่มนุษย์คนทำงานทั่วไปอย่างเราๆ นั้น ต่อให้หาเงินทั้งชีวิตก็ยังไม่อาจเทียบเท่ารายได้นักฟุตบอลเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ
แต่ต้องบอกก่อนว่า การที่จะก้าวมาอยู่ในจุดที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพได้นั้น คุณต้องทุ่มเทการฝึกซ้อมอย่างหนัก ต้องหั่นเวลาส่วนตัวเพื่อฟุตบอล อย่างเช่น “ริคาร์โด้ กาก้า” (Ricardo Kaka) อดีตซูเปอร์สตาร์นักฟุตบอลทีมชาติบราซิลเคยให้สัมภาษณ์ในช่วงหลังจากรีไทร์ไปไม่กี่สัปดาห์ว่า การที่คนใดคนหนึ่งอยากที่จะเป็นนักฟุตบอลออาชีพนั้น จะต้อง “เสียสละ” หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อแลกกับอาชีพนี้ โดยเฉพาะช่วงเวลาในวัยเด็ก ซึ่งเด็กนักเรียนทั่วไปในบราซิล พอถึงวันเสาร์-อาทิตย์ ก็สามารถหยุดพักผ่อนได้สบายใจเฉิบ ตรงข้ามกับเด็กชายกาก้า ที่ต้องรีบนอนแต่หัวค่ำคืนวันศุกร์ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองในการลงสนามฝึกซ้อมและแข่งฟุตบอลในวันเสาร์
เดวิด เบ๊กแฮ่ม (David Beckham) ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าและบริการชื่อดังมากมาย ด้วยรูปลักษณ์และบุคลิกภาพที่ดูดีของตัวเขาเอง
อย่างไรก็ตามใช่ว่าการที่คุณได้เสียสละช่วงเวลาสนุกสนานของชีวิตไปทุ่มเทให้กับ “ฟุตบอล ฟุตบอล และฟุตบอล” หาได้การันตีไม่ว่า คุณจะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชั้นนำได้อยู่ดี ยังมีนักฟุตบอลอีกจำนวนมาก ที่ถึงที่สุดแล้ว พวกเขาก็อาจเป็นได้แค่นักฟุตบอลระดับกลางๆ ที่พอมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองเท่านั้น ปัญหาคือเมื่อถึงวันที่สังขารของตัวเองไม่เกื้อหนุนพอที่จะโลดแล่นในสนามหญ้าสีเขียวอีกต่อไปแล้วนั้น การขาดความรู้หรือทักษะทางด้านอื่นเนื่องจากชีวิตที่ผ่านมานั้นพวกเขาทุ่มเทเวลาให้กับฟุตบอลอย่างเดียวไปจนหมด คำถามคือ นักฟุตบอลอาชีพเหล่านี้จะทำมาหากินอะไรกันต่อ?
แน่นอนว่า ในบทความชิ้นนี้คงไม่สามารถ ‘ตอบ’ ได้ทั้งหมดว่า นักฟุตบอลที่เลิกเล่นแล้ว จะดำรงชีพด้วยอะไร แต่หนึ่งในความเชื่อลึกๆ อย่างหนึ่ง ก็คือว่า อาชีพที่ (อดีต) นักฟุตบอลอยากทำหลังการเลิกเล่น ขอเป็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล
ซีเนอดีน ซีดาน (Zinedine Zidane) กับอาชีพผู้จัดการทีม และยังรับจ๊อบเป็นนายแบบในเวลาว่างๆอีกด้วย
คำว่า อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล จะมีตั้งแต่อาชีพผู้จัดการหรือการเป็นเฮดโค้ช, นักวิเคราะห์-วิจารณ์ฟุตบอลบนหน้าจอทีวี หรือบทบาทอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับฟุตบอล ดังเช่น เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ทำงานในองค์กรที่เกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลอย่าง UEFA หรือ FIFA และอาจทำหน้าที่บริหารทีมฟุตบอลไปเลยก็ได้
หรือในบางกรณีก็อาจไม่จำเป็นต้องทำงานเกี่ยวกับฟุตบอลก็ได้ แต่ก็สามารถข้ามไปประกอบอาชีพที่แตกต่างออกไปอย่างการเป็นนักการเมือง นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่ว่า นักฟุตบอลคนนั้นๆ พอที่จะมีจุดเด่นอื่นๆ ของตัวเองอย่างไร และที่สำคัญคือมีความเข้มแข็งมากแค่ไหนที่จะ “เริ่มต้นเรียนรู้ทักษะใหม่ชนิดอื่นนอกเหนือจากฟุตบอล” เพื่อที่จะเป็นอาชีพของตัวเองหลังแขวนสตั๊ด
จอร์จ เวอาห์ (George Weah) อดีตนักฟุตบอลชื่อดัง ที่ได้รับความนิยมถึงขั้นที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศไลบีเรียเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเวลานี้อาชีพที่น่าจะฮ็อตฮิตที่สุดหลักๆ แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นแวดวงลูกหนังอย่างอาชีพผู้จัดการทีมฟุตบอล และนักวิจารณ์กีฬาฟุตบอลทางโทรทัศน์นั่นแหละครับ
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า อาชีพผู้จัดการทีมและอาชีพนักวิเคราะห์ เป็นอาชีพที่คุณจะได้ออกหน้ากล้องสู่สาธารณชนมากที่สุด และโอกาสที่แฟนฟุตบอลจะไม่ลืมหน้าลืมตาของคุณไปอย่างรวดเร็วมากนัก ต่อให้ผ่านกาลเวลานานแค่ไหนก็ตาม อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า ความเฟื่องฟูของทุนนิยมและโลกาภิวัฒน์ ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับทีวี ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติใดก็ตาม สามารถว่าจ้างอดีตนักฟุตบอลมาเป็นนักวิจารณ์ให้กับช่องทีวีของตัวเองได้ ขอเพียงแค่พูดภาษาที่คนดูจะฟังรู้เรื่องได้ก็พอแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นเจ้าของช่องทีวีในสิงคโปร์ แล้วมีเงินถึงก็สามารถว่าจ้างอดีตนักฟุตบอลคนใดก็ได้ในโลก มาเป็นนักวิจารณ์ในช่องคุณได้เลย จะเป็นเธี่ยร์รี่ อองรี จะเป็นริโอ เฟอร์ดินานด์ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
การโต้คารมอย่างดุเดือดระหว่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ แกรี่ เนวิลล์ ที่ถูกใจคนดูอย่างยิ่ง ถือเป็นมิติใหม่ในวงการทีวีอังกฤษได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี การที่คุณจะเป็นนักวิเคราะห์ฟุตบอลได้ เงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ คุณต้องผ่านการเล่นฟุตบอลระดับสูงหรือเป็น “อดีตซูเปอร์สตาร์” มาก่อน เพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือและเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนดูได้ ซึ่งต่างกับการเป็นผู้จัดการทีมหรือเฮดโค้ช ที่ หากคุณมีความสามารถในการบริหารจัดการและคุมทีมฟุตบอลจริงๆ คุณก็สามารถได้รับการว่าจ้างได้ถึงแม้คุณอาจเป็นเพียงนักฟุตบอลระดับโนเนมมาก่อนก็ตาม ดังนั้นอาชีพผู้จัดการทีมฟุตบอลจึงเปรียบเสมือนทางสว่างของอดีตนักฟุตบอลไร้ชื่อเสียง ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนดังที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำไม่แพ้นักฟุตบอลที่กำลังวิ่งตุเลงๆ ในสนาม (ถ้าเก่งจริง)
แกเร็ธ เซาธ์เกต อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษช่วงปี 2018
แน่นอนว่า การที่ตัดสินใจเลือกอาชีพผู้จัดการทีมฟุตบอล ต้องพึงทำใจไว้ก่อนเลยว่า เป็นอาชีพที่ ‘เหนื่อยสาหัส’ ไม่แพ้การเป็นนักฟุตบอลลงเตะในสนาม ผู้เขียนเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ “โชเซ่ มูรินโญ่” (Jose Mourinho) ผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อดังระดับโลกอีกคนหนึ่ง ที่เคยบอกว่า อาชีพผู้จัดการทีมเป็นอาชีพที่หนักมากๆ เพราะไหนจะต้องนั่งวางแผนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ไหนจะต้องมานั่งเช็กเทปดูฟอร์มการเล่นของคู่แข่งที่จะต้องเจอในสัปดาห์ต่อไป อีกทั้งยังต้องคิดแผนรับมือกับสื่อมวลชนที่จ้องรุมทึ้ง ไปจนถึงการมานั่งคอยแก้ปัญหานักเตะภายในทีมที่มีโอกาสปะทุได้ทุกเมื่อ ปิดฤดูกาลก็ต้องมาจัดการดีลซื้อนักเตะสำหรับฤดูกาลใหม่ จะมีเวลาพักร้อนจริงๆ แค่เดือนกรกฎาคมเดือนเดียวเท่านั้น
โดยทั้งหมดที่ว่ามานั้น ยังไม่ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักของการเป็นพ่อที่ดีของลูกๆ หรือการเป็นสามีที่ดีของภรรยาอีกต่างหาก ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่า อาชีพผู้จัดการทีมนั้น ไม่ง่ายเลย แต่ความไม่ง่ายนั้น ก็นำมาซึ่งรายรับมหาศาล
ชีวิตมันก็แบบนี้แหละครับ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เป็นของธรรมดา