กลางดึกคืนหนึ่ง ในขณะที่เราเดินทางไปทำงานแถวเอกมัย ก็ได้ยินคนพูดถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่ทุกๆ จานจัดเสิร์ฟเหมือนเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ หนึ่งคนในนั้นก็พูดขึ้นประมาณว่า “โดยเฉพาะจานสุดท้ายเนี่ยเด็ด” ทำให้มันกระตุ้นต่อมประสาทความสนใจในตัว MDs เป็นอย่างยิ่ง ไม่รอช้า เราเดินเข้าไปถามชื่อร้านกันเลยครับและได้ความว่า ร้านดังกล่าวชื่อ CUISINE de GARDEN แถมอยู่แถวเอกมัยเสียด้วย มีหรือจะพลาด ว่าแล้วเราก็รีบจัดการโทรจองพร้อมสอบถามรายละเอียดทางร้าน ก่อนเดินทางไปพิสูจน์กัน
ร้าน CUISINE de GARDEN ตั้งอยู่บนถนนเอกมัยซอย 2 (ซึ่งสามารถจอดรถได้ที่ Somerset) ภายในร้านนั้นตกแต่งให้ความรู้สึกเหมือนเราเข้าไปทานอาหารในพื้นที่ธรรมชาติ พร้อมบาร์หิ่งห้อย ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ประจำร้านนี้เลยก็ว่าได้ครับ โดยทางร้านจะขายอาหารเป็น Full Course Dinner ในราคา 1,590.-++ ลองตามมาดูกันครับว่า “อาหารแต่ละจานสวยงามและอร่อยมากแค่ไหน”
-อาหารทานเล่น เป็นขนมปังพร้อมครีมชีสเลมอน-
COAST TO COAST
อันนี้คืออาหารจานแรกที่เราได้รับจากทางร้านครับ ซึ่งถือเป็นจานที่ไม่มี Option ให้เลือก เป็นเมนูที่ทางร้านเตรียมให้พิเศษโดยเฉพาะ ซึ่งมีไอเดียมาจากการนำเอาอาหารทะเลมาปรับให้เข้ากับวัตถุดิบแบบไทยๆ อย่างเช่น ซอสที่เลือกใช้กลิ่นจากใบมะกรูด หรือแม้กระทั้งแซลมอนทาร์ทาร์บนใบมะกรูดทอด และที่เราชอบมากที่สุดคงเป็นปูบนผลมะกรูดที่รสชาติกลมกล่อมมากจริงๆ
CHAPTER 01
ถือเป็นจานหลักจานแรกที่เรามีโอกาสเลือกว่าจะทานอะไร ซึ่งเราเลือกเป็น Rain Forest โดยมี Design มาจากป่าฝนซึ่งทางร้านเลือกใช้เนื้อทอดมาทำเป็นลักษณะขอนไม้ เสิร์ฟคู่กับ Beef Tartare โรยด้วย Italian Parsley และซอสไข่แดง รสชาติถือว่าดีงาม แต่ก่อนจะตักกินนี่ต้องทำใจสักพักเพราะจัดจานมาสวยงามมากจริงๆ
อีกที่หนึ่งเราลองเป็น Seacret โดยเลือกใช้ Hokkaido Scallop พันด้วยมะระหวาน โรยด้วยสาหร่ายสีแดงและยอดฟักแม้ว / โฟมมะนาว และน้ำซุป Ponzu ที่เสิร์ฟมาในหอยสังข์ รสชาติถือว่าดีงามมากจริงๆ หวานมากครับ จานนี้ MDs RECOMMENDED เลย ถือว่าแปลกและน่าสนใจมากทีเดียว
CHAPTER 02
จานนี้ถือเป็นจานอุ่นเครื่องจานสุดท้ายครับก่อนเข้าสู่จานหลัก Set แรกเราเลือกเป็น NEST ซึ่งถือเป็นจานเอกลักษณ์ของร้านนี้เลยก็ได้ กล่าวคือ “ทุกคนควรมาลองจานนี้กันสักครั้ง” ซึ่งอาหารจานนี้จะมีส่วนประกอบได้แก่ไก่ฉีกทานคู่ไข่ออนเซ็น พร้อมเส้นหมี่ทอดและน้ำมันจากเห็ด Truffle ก่อนอื่นคือต้องตอกไข่ให้แตกก่อนครับ ขั้นตอนนี้แอบยากเล็กน้อย แล้วเทลงบนเส้นหมี่ จากนัดตัดทานรวมกัน รสชาติดีทีเดียว เนื้อไก่ปรุงรสได้ดี ตัดกับไข่ที่นุ่มกำลังดี หอมกลิ่นน้ำมัน Truffle จานนี้ดีจริงๆ ครับ MDs’ RECOMMENDED
อีกจานเป็น Eclipse ครับ เป็นข้าว Barley ทำเป็น Risotto ผัดกับปลาแห้ง Anchovy พร้อมแก่นตะวันทอดและซอสแก่นตะวัน แต่งจานเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว จานนี้ข้าวหอมมากครับ แต่สำหรับใครที่ไม่เคยทานแก่นตะวันมาก่อนเลยอาจจะรู้สึกแปลกๆ ได้ เพราะกลิ่นจากแก่นตะวันจะเป็นเอกลักษณ์มากทีเดียว ซึ่งถ้าใครเคยทานอยู่แล้ว ก็ถือเป็นเมนูที่แนะนำให้ลองเลยครับ แปลกใหม่ดีทีเดียว
CHAPTER 03
มาถึงจานหลักละครับ วันนี้ MDs เลือกเป็น Swamp (+400.-) ซึ่งเป็นเนื้อ Tenderloin Aged ราว 55 วันจากฟาร์มในบ้านเรานี่แหละครับ ราดซอสเข้มข้นที่ได้จากการย่างเนื้อตัวนี้และทานคู่กับแขนงกะหล่ำ ราดซอสกุ้ยช่ายที่มีกลิ่นและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เนื้อถือว่าทำออกมาได้ดีมากทีเดียวครับ นุ่มแบบ Medium Rare กำลังดี หอมอร่อย ส่วนเครื่องเคียงอาจจะมีกลิ่นกุ้ยช่ายชัดเจน และโดยส่วนตัวไม่ค่อยชินกับซอสที่กลิ่นครีมเข้มข้น ซึ่งถ้าใครชอบเราว่าเมนูนี้น่าจะหอมมันเลยทีเดียว เพราะตัวเนื้อถือว่าอร่อยเหาะมากจริงๆ
อีกจานหนึ่งเป็น Water Lilies จานนี้มีปลา Halibut เป็นตัวชูโรงครับ ทานคู่กับซอสที่มีส่วนผสมของใบบัวบก แถมมีเม็ดบัว กลีบบัว และไหลบัวที่นอกจากแต่งจานให้สวยงามแล้วยังสามารถรับประทานได้ด้วย โดยส่วนตัวถือเป็นจานที่ตกแต่งได้ดีเยี่ยมมากที่สุดจานหนึ่งเลยครับ อย่างกับภาพวาด (ซึ่งเชฟได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของ Monet ในชื่อเดียวกัน) สวยงามจริงๆ ปลาเนื้อละเอียดมากครับ ชอบเลย ส่วนซอสก็อร่อยแบบลงตัวยังไงบอกไม่ถูก มีรสเปรี้ยวนิดๆ มันหน่อยๆ แถมมีกลิ่นหอมของใบบัวบกอีกด้วย จานนี้ต้องสั่งครับ ห้ามพลาด MDs’ RECOMMENDED
CHAPTER 04
ถือเป็นจานของหวาน และเป็นจานสุดท้ายที่เราได้มีโอกาสเลือกจากเมนูครับ จานแรกเราเลือกเป็น Farm คือเลือกใช้ Goat Milk มาทำเป็น Pannacotta ตกแต่งด้วย Snow Milk / นมกรอบ / ถั่ว Macadamia และ น้ำผึ้ง ซึ่งรสชาติดีมากครับ ขนาดเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบกลิ่นนม ยังไม่รู้สึกอะไรใดๆ ทานได้แบบสบายๆ รสชาติกลมกล่อมมากจริงๆ จานนี้ดีมากครับ
ส่วนอีกจานหนึ่งคือ Coral เป็นการเลือกส่วนผสมระหว่าง Matcha Mousse กับงาดำได้อย่างลงตัว พร้อมซอสจากส้ม Yuzu และ Mandarin ที่มาในรูปผลส้มบนจานเลยทีเดียว ตัวซอสถือว่าดีเยี่ยม หอมกลิ่มส้มมากๆ ครับ แถมตัวชาเขียวยังเข้ากับฟองน้ำจากงาดำได้เป็นอย่างดี อร่อยทั้ง 2 จานเลยครับสำหรับ CHAPTER 04
STONE
จานสุดท้านของ Full Course Dinner ละครับกับเมนูอาหารที่มีชื่อว่า STONE ซึ่งเราแอบตั้งตารอจากคำบอกเล่าของชายแปลกหน้าข้างต้น แล้วพอเมนูนี้มาเสิร์ฟจริงๆ ก็ถึงกับต้องอึ้งครับ เพราะมันมีหน้าตาเป็นหินจริงๆ ณ ตอนแรกที่มอง เลยคิดในใจว่า “เอ เราต้องอมหินหรือป่าวนะ” แต่ไม่ใช่ครับ จริงๆ ในจานมีซ่อน Chocolate ไว้ทั้งหมด 4 ชิ้น โดยเชฟนำถ่านฟางมาผสมกับ Chocolate ให้สีเข้มเป็นสีดำ กลืนไปกับหินที่วางมาคู่กัน ซึ่งสอดไส้เป็นรสกระเจี๊ยบและรสมะขามเปรี้ยวๆ Refreshing มากทีเดียว
ถือเป็นร้านที่น่าสนใจร้านหนึ่งเลยทีเดียวครับ CUISINE de GARDEN กับ Course Dinner ที่มีหลากหลายรสชาติให้แปลกใจตลอดเวลาในทุกๆ จาน ในราคาราวๆ 1,590.-++ กับบรรยากาศและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ น่าจะเป็นมื้อค่ำที่น่าจดจำมากๆ เลยก็ว่าได้ จะพาแฟนมาทานหรือจะลองมากินกับเพื่อนๆ ก็ได้ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ด้านอาหารให้ชีวิตเลยครับ
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : CUISINE de GARDEN Bkk หรือโทรศัพท์ติดต่อ (66)61 626 2816 ร้านตั้งอยู่ที่เอกมัยซอย 2 ครับ หรือใครอยู่ที่เชียงใหม่ก็สามารถลองไปทานได้ที่สาขาเชียงใหม่เช่นกัน