หากพูดถึงการเข้าสังคมในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่ทำงาน สังคมกลุ่มเพื่อนฝูง สังคมครอบครัวญาติ ๆ การสังสรรค์ร่วมงานอะไรก็แล้วแต่ ทักษะ Soft Skills ที่เป็นทักษะทางด้านอารมณ์และสังคมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นทักษะสำคัญที่ผู้ชายทุกคนควรพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นครับ โดยหนึ่งทักษะที่ MenDetails จะโฟกัสในวันนี้ คือ 5 Communication Skills ทักษะด้านการสื่อสารที่ต้องมีและควรพัฒนาให้ดีขึ้น พูดอย่างไรให้น่าฟัง เอาไว้ใช้เวลาเข้าสังคมใหม่ ๆ หรือเวลาไปกลับไปเจอกลุ่มเพื่อนฝูง คนที่คุ้นเคยหลังจากไม่ได้เจอกันมานานครับ
Main point and Good conclusion
สำหรับ Communication Skills ข้อแรก ถ้าจะเรียกแบบภาษาบ้าน ๆ ที่สุด มัน คือ การฝึกตัวเองให้เป็นคนพูดรู้เรื่องครับ เวลามีการจับกลุ่มกันเพื่อตั้งวงสนทนาขึ้น ให้ลองสังเกตดูว่าจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่เป็นคน Raise หัวข้อบางอย่างขึ้นมาเพื่อให้มีเรื่องราวที่คนในกลุ่มจะได้พูดคุยกันได้ ซึ่งคนนั้นมักจะเป็นคนที่เล่าเรื่องเก่งหรือรู้จักวิธีพูดครับ โดยทักษะนี้ไม่ได้จำเป็นแค่เวลาไปทำงาน นำเสนองานหรือพูดในที่ประชุม มันส่งผลไปถึงการไปร่วมงานสังคม สังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงทั้งสิ้น
ซึ่งคุณลักษณะที่ชัดเจนที่สุด ในการจะเป็นคนพูดรู้เรื่องได้นั้น คือ ต้องรู้จักพูดให้ตรงประเด็น (Straight to the point)และสรุปความ (Conclusion) ให้เป็นครับ ประเด็นสำคัญของเรื่องคือประเด็นไหน ต้องเกริ่นนำ (Open) อย่างไร เนื้อหา (Content) คืออะไร เล่าไปจนถึงตอนจบ (Close) อย่างไร ทั้งหมดควรจะมีความสอดคล้องกันไม่ให้คนฟังรู้สึกว่าออกทะเลไปแล้วหาทางกลับไม่ได้
หลายคนอาจมีโอกาสพบเจอคนที่พูดเก่ง แต่เป็นการพูดในลักษณะพูดไปเรื่อย สไตล์น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงครับ นั่งฟังตั้งนาน แต่กลับไม่แน่ใจว่าใจความสำคัญของเรื่องนั้นคืออะไร ประเด็นที่อยากให้คนฟังสนใจอยู่ตรงไหนกันแน่ แปลว่าผู้พูดนั่นอาจขาดทักษะในการเล่าเรื่องให้ตรงประเด็น เกริ่นนำเยอะเกินไป เล่าเรื่องราวเกินไปจนคนหลุดโฟกัส เหล่านี้มีส่วนทำให้ประเด็นหลักถูกดึงความสนใจไปได้
ฉะนั้น การที่จะพัฒนาทักษะการพูดในส่วนนี้ของตัวเองให้ดีขึ้นได้ ต้องเข้าใจว่าเวลาจะสื่อสารเรื่องราวสักเรื่องหนึ่งออกไปให้กลุ่มสังคมฟัง เราต้องรู้ว่าเรากำลังพูดเรื่องไหนและพูดเพื่ออะไรครับ การกำหนดจุดประสงค์และเนื้อหาในการพูดได้ ก็จะช่วยทำให้เราพูดได้ตรงประเด็นขึ้น หรือบางครั้งเวลาฟังคนอื่นพูดมา เราก็ควรมีทักษะในการจับประเด็นเป็นด้วย เรากำลังฟังอะไร Main point ของมันอยู่ตรงไหนก็จะช่วยให้เราสรุปความทั้งหมดได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ย่อให้เหลือสั้น ๆ ว่าอะไรคือประเด็นสำคัญที่เล่ามานั่นเองครับ
Pace to speak
ทักษะในการพูดข้อถัดมา เป็นเรื่องของการรู้จักจังหวะและเวลาในการพูดครับ ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นคุณสมบัติที่ยากในการฝึกฝนให้เก่งครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จับจังหวะในการพูดได้ จังหวะในการพูดมักมาพร้อมกับการอ่านบรรยากาศในวงสนทนา ความพร้อมและอารมณ์ของผู้ฟัง ประเมินสถานการณ์ออกว่าตอนไหนควรหรือไม่ควรพูดอะไร
ผู้พูดที่ดีควรรู้ว่าตอนไหนควรพูด พูดด้วยความเร็วประมาณไหน ตอนไหนที่ควรหยุด (Pausing) เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่นบ้าง ตอนไหนคือควรจะเปิดพื้นที่ให้คนอื่นตั้งคำถาม นอกจากนั้นยังควรระวังเรื่องการพูดแทรก หรือเข้าประเด็นผิดจังหวะแล้วทำให้บรรยากาศในวงสนทนาเสียไปได้ด้วยครับ
จังหวะในการพูดนั้นยังรวมถึงการใช้ Dynamic เสียงด้วยนะครับ ตอนไหนควรจะเน้นเสียงเพื่อตอกย้ำความสำคัญของเรื่อง ตอนไหนควรจะใช้ Tone of voice แบบไหนในการเล่า เป็นต้น ไปจนถึงการระวังคำฟุ่มเฟือยต่าง ๆ อย่าง เช่น คำว่า แบบ, คือว่า, ประมาณว่า หรือการออกเสียง เอ่ออ่า ด้วยนะครับ เพราะถ้าหากขึ้นต้นประโยคซ้ำ ๆ ถี่มากเกินไปก็อาจส่งผลต่อเรื่องจังหวะในการพูดได้ทั้งนั้นครับ
Who’s your audience?
การรู้จักประเมินผู้ฟังก่อนพูดได้ ก็เป็นหนึ่งในทักษะการพูดที่ควรพัฒนาควบคู่ไปด้วยครับ โดยการประเมินผู้ฟังนั้น คือ ให้ดูว่าผู้ฟังเป็นใคร มีความรู้และความเข้าใจในประเด็นที่เราจะสื่อสารขนาดไหน มี Reaction ในขณะที่เราเล่าอย่างไรบ้าง และหากเป็นการสื่อสารในกลุ่มเล็ก ๆ หรือเพื่อนที่สนิทกันเฉพาะกลุ่มลงไปก็จะสามารถประเมินได้ถึงว่าคนไหนรับได้หรือรับไม่ได้กับวิธีการพูดแบบไหน พูดอย่างไรจึงจะจับใจได้มากกว่าเลยทีเดียวครับ
การดูว่าผู้ฟังเป็นใคร สามารถใช้อายุและฐานความรู้ในเรื่องนั้น ๆ มาช่วยประเมินครับ หากเลือกระดับภาษาที่ห่างวัยกันเกินไปก็อาจจะทำให้สื่อสารกันไม่เข้าใจ หรือถ้าเป็นศัพท์เฉพาะทางเกินไปแล้วคุยกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำงานสายเดียวกันก็อาจจะทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ฉะนั้นเมื่อประเมินได้แล้วว่าผู้ฟังเป็นใครก็จะช่วยกำหนดระดับภาษาและวิธีการเลือกใช้คำของเราได้มากขึ้น
การประเมินผู้ฟังนั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินระดับการสนทนา ที่จะช่วยในการปรับสไตล์การสื่อสารของเรา ประกอบกับเรื่องการเลือกใช้คำด้วยครับ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนเปรียบเทียบ ดูถูก หรือโดนตัดสิน ยิ่งเป็นวงสนทนาที่มีคนเก่งอยู่รวมกันเยอะ ๆ ยิ่งต้องอ่านให้ขาดว่าต้องพูดอย่างไรเพื่อให้ทิศทางในการพูดคุยกันออกมาบวก ถ้าเปรียบเทียบเป็นการขายงานก็คือ หากประเมินผู้ฟังได้ดี ก็มีโอกาสขายงานสำเร็จ ลูกค้าซื้อ ถ้าเป็นการประชุมก็คือการเสนอแผนงานผ่าน ส่วนถ้าเป็นวงสนทนาของเพื่อนฝูง คนที่ประเมินผู้ฟังเก่งก็จะสามารถตรึงความสนใจของเพื่อน ๆ เอาไว้ได้ว่าเล่าเรื่องไหนคนจึงจะสนใจนั่นเอง
Non-verbal Communication is important
นอกจากการสื่อสารด้วยภาษาพูดแล้ว เรายังควรใช้อวัจนภาษา (Non-verbal Language) มาช่วยเสริมการสื่อสารของเราด้วย โดยอวัจนภาษา คือ การสื่อสารโดยไม่ใช้ถ้อยคำ แต่ใช้ท่าทางอากัปกิริยา สายตา การใช้สัญญาณต่าง ๆ ในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจต่อกันครับ ซึ่งในขณะที่เราพูดนั้น การมีอวัจนาภาษาที่ดี สามารถทำให้เรื่องที่พูดน่าสนใจ มีน้ำหนักขึ้นได้ ทั้งยังช่วยให้จุดประสงค์ในการสื่อสารชัดเจนขึ้นด้วยครับ
อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้นเรื่องการรู้จักจังหวะในการพูด เพื่อที่จะได้มีส่วนในการกำหนดโทนเสียงในการพูดนั้น โทนเสียงก็นับเป็นอวัจนภาษารูปแบบหนึ่ง การพูดประโยคเดียวกัน แต่ใช้น้ำเสียงต่างกันก็จะทำให้ผู้ฟังรับสารไปในแบบที่แตกต่างครับ
ยกตัวอย่างเช่น หากเราอยู่ในปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนแล้วเราถามเพื่อนที่อยู่ในวงว่า ‘ดื่มเยอะไม่ได้เหรอ’ ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง อีกฝ่ายก็อาจตีความได้ว่าเรากลัวเพื่อนเมา เป็นห่วงว่าจะกลับอย่างไร แต่ถ้าเราถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันก็อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นการแซะการแซวว่าคออ่อน ดื่มไม่เก่งไปแทนก็ได้ครับ
นอกจากเรื่องโทนเสียงแล้ว หัวใจหลักของอวัจนภาษา คือ ภาษากาย (Body Language) ครับ โดยภาษากายนั้นแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็น เรื่องการใช้สายตา (Eye contact) การแสดงออกทางสีหน้า (Facial Expressions) ท่าทางการขยับตัวของร่างกาย (Body Movement) และระยะห่างของภาษากาย (Space and Distance) ครับ
การฝึกตัวเองให้สบตากับผู้ฟังได้นับเป็นการเสริมความหนักแน่นและน่าเชื่อถือให้ผู้พูด ส่วนการแสดงสีหน้าที่จะช่วยให้วงสนทนามีบรรยากาศไม่ตึงเครียดได้ดีที่สุด คือ การยิ้ม แต่เมื่อถึงเวลาเป็นเรื่องจริงจัง เราก็ควรจะรักษาสีหน้าให้อยู่ในระดับนิ่งและเคร่งขรึมได้ ควรจะอยู่ในท่าหลังตรง ไม่งอตัวเพราะช่วยเสริมเรื่องบุคลิกภาพด้วย ในขณะที่เรื่องระยะห่างของภาษากายนั้นมีไว้เพื่อบ่งบอกระดับความใกล้ชิดของคู่สนทนา ซึ่งต้องมีระยะให้เหมาะสมกับสถานการณ์ครับ อย่างการยืนข้างแฟนกับข้างเจ้านายก็จะมีระยะห่างที่ไม่เท่ากัน เป็นต้น
Listen to your feedback
สุดท้าย การพัฒนาทักษะการพูดที่ดีได้นั้น ต้องอาศัยการรับฟังด้วยครับ แม้จะพูดเก่งแค่ไหน แต่หากเป็นแค่ผู้พูดอยู่ฝั่งเดียวตลอดบทสนทนาก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าการสนทนาครั้งนั้น ๆ คือบทสนทนาที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ฉะนั้นเราต้อง รับฟังความเห็นของผู้ร่วมบทสนทนา ขณะที่พูดคุยกันอยู่เสมอครับ ระวังการสื่อสารจากฝั่งตัวเองเพียงฝ่ายเดียวจนลืมที่จะหยุดเพื่อฟัง คอยดูว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นที่คุยกันอยู่ เห็นด้วยหรือเห็นต่าง อยู่ในสภาพอารมณ์ที่พร้อมรับฟังไหม
ซึ่ง Reaction ของผู้ฟังนั้นก็สามารถตีความได้จากหลายอย่าง ทั้งความคิดเห็นที่พูดออกมา ภาษากาย ทั้งท่าทางในการนั่งฟัง สายตาต่าง ๆ ว่ายังสนใจยังเรื่องที่เราพูดอยู่ไหม ถ้าเป็นยุคนี้ลองดูว่าอีกฝ่ายวางมือจากสมาร์ทโฟนเพื่อคุยโต้ตอบกับเราไหมก็ได้ครับ หากเราไม่สามารถดึงความสนใจของคู่สนทนาไว้ได้ ท่าทางของอีกฝ่ายจะเป็น Feedback ที่ช่วยบอกเราเองครับ
ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวไปข้างต้นนี้ เป็น Communication Skills จะช่วยพัฒนาเรื่อง พูดอย่างไรให้น่าฟัง ที่ MenDetails มองว่าหากทำได้ดีก็จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ในตัวผู้พูดได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการกับกลุ่มเพื่อนฝูงสังคม หรือการสนทนาอย่างเป็นทางการในการทำงาน ประชุม พบเจอกับลูกค้าก็นับว่าช่วยเสริมทักษะในการสื่อสารแข็งแกร่งขึ้นทั้งสิ้น