ทักษะของการทำงานแบ่งออกเป็น ทักษะความรู้ที่ใช้ในการทำงาน เป็นทักษะในเชิงความเชี่ยวชาญตามสายอาชีพหรือสายงานนั้น ๆ หรือที่เรียกว่า Hard Skills กับ ทักษะด้านอารมณ์ที่เกิดจากการเข้าสังคม เรียนรู้จากการทำงานและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เรียกว่า Soft Skills ซึ่งวันนี้ MenDetails.com จะพาทุกคนไปดู 5 Soft Skills ที่คนทำงานยุคดิจิทัลควรมีเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปรับตัวทันโลกครับ
เริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง (Self-Awareness)
สิ่งสำคัญที่สุดในทักษะ Soft Skills ที่ทุกคนต้องมี เริ่มจากต้องรู้จักตัวเองก่อนอย่างชัดเจน รู้ความถนัด ความชอบของตัวเอง รู้ว่าอะไรเป็นจุดแข็ง และในขณะเดียวกันก็ควรจะรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดอะไรอยู่กับอะไรไม่ได้ รู้เพื่อที่จะได้หยิบตัวเองไปวางในตำแหน่งงาน หรือในองค์กรที่เหมาะกับความถนัดของเรา
อาจจะรู้จักตัวเองได้จากการที่เราพูดคุยและมองผลงานของตัวเอง หรือรู้ได้จากการสอบถามคนใกล้ตัวหลาย ๆ กลุ่มสังคม ทั้งเพื่อนทั้งครอบครัว เพราะบางครั้งคนอื่นอาจมองเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นตัวเองก็เป็นได้ หรือลองทำการทดสอบพวก Personalities Test อย่าง MBTI ก็เป็นอีกวิธีในการทำความรู้จักตัวเองให้มากขึ้นได้เช่นกัน เมื่อรู้ว่าเราเป็นใคร ถนัดอะไร อยากทำอะไรหรือเติบโตในสายงานไปทางไหนแล้วก็น่าจะทำให้การเลือกงานหรือก้าวเข้าไปทำงานสักงานชัดเจนขึ้น
สกิลสื่อสารสำคัญมาก (Communication)
ทักษะถัดมาที่ทุกคนต้องมี คือ ทักษะในการสื่อสาร ทั้งในแง่การสื่อสารความคิดเห็นของตัวเองไปสู่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในทีม เจ้านาย กระทั่งลูกค้า รวมจนถึงการประชุมหรือการนำเสนองาน (Presentation) ต่าง ๆ ซึ่งการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผลที่ออกมาจะต้องเข้าใจตรงกันทั้งผู้พูดและผู้ฟัง และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจได้ เช่น หากไปขายงานกับลูกค้าแล้วขายงานผ่าน แปลว่าส่วนหนึ่งเรามีความสามารถสื่อสารและนำเสนองานอย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องคิดว่าจะพูดหรือใช้วิธีการนำเสนออย่างไร เพื่อให้คนอื่นเข้าใจกระบวนการคิดของเรา
หากเป็นการทำงานร่วมกันที่บริษัทหรือนัดประชุมกัน ณ สถานที่ใดที่หนึ่งก็จะง่ายต่อการสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ recheck ได้ว่าสิ่งที่ทุกฝ่ายเข้าใจนั้นตรงกันหรือไม่ แต่ในปัจจุบันเมื่อการทำงานแบบ Work from home ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลากหลายบริษัท ก็ถือว่าเป็นตัวพิสูจน์ว่าเราและทีมมีทักษะในการสื่อสารเป็นอย่างไร
นอกจากนั้นการเลือกวิธีการสื่อสารไปยังแต่ละกลุ่มบุคคลก็สำคัญ ต้องดูว่าเราจะสื่อสารกับใคร เพื่อจุดประสงค์ไหน หากเป็นลูกค้า จะพูดอย่างไรให้เขาชอบพอในผลงาน หากเป็นเพื่อนร่วมงานจะพูดอย่างไรไม่ให้ดูหักหน้ากันแม้ว่าจะเป็นการปฏิเสธไอเดียของเขา เป็นต้น
ความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามสถานการณ์ (Resilience)
สำหรับความสามารถในการปรับตัว เมื่อก่อนเราอาจจะเคยชินกับคำว่า Adaptability เป็นการปรับตัวในแง่ action ปรับตามสถานการณ์ เลือกวิธีการปฏิบัติตัวในเหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเราขอจัดความสามารถในการปรับตัวนี้อยู่ใต้ subset ทักษะความยืดหยุ่นแบบ Resilience ที่หมายถึง ความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวเมื่อเผชิญกับปัญหา เป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้เร็ว
ซึ่งการจะมีทักษะ Resilience ได้ ต้องเริ่มจากการมีมุมมองต่อโลกและสิ่งรอบตัวอย่างที่มันเป็นจริง ๆ ก่อน เข้าใจในแง่ที่ว่าทั้งโลกและทุกธุรกิจนั้นยืนอยู่บนความรวดเร็ว การเปลี่ยนผ่านและความไม่แน่นอน
หลังจากนั้นต้องสามารถทำใจยอมรับเมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดหรือสถานการณ์แย่ ๆ ขึ้นได้ และควรเผื่อใจไว้อีกส่วนว่าอาจจะเจอสถานการณ์เลวร้ายกว่านี้ ถัดมาต้องประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองและทีม ไปจนถึงระดับองค์กรได้ว่า ณ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ก่อนที่จะลงมือแก้ไขปัญหาหรือรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นต่อไป
วิเคราะห์ปัญหาและตัดสินใจเลือกทางเลือกได้
(Problem Solving and Decision Making)
การทำงานมักจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่วางแผนเสมอไป ยิ่งมีเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาข้องเกี่ยวก็ยิ่งมีโอกาสเกิดการติดขัดได้มากขึ้น ฉะนั้นทักษะเรื่องการแก้ปัญหาและตัดสินใจเลือกทางแก้จึงเป็นสิ่งที่คนทำงานยุคนี้ต้องมี เมื่องานสะดุดจากปัจจัยบางประการ ไม่ว่าจะเป็นจากคน จากขั้นตอนการดำเนินงานหรือระบบ เราต้องแก้ไขได้ เริ่มจากหาให้เจอก่อนว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ตรงไหน
การระบุสาเหตุของปัญหาอาจเริ่มด้วยตั้งคำถาม Why แล้วไล่สาเหตุขึ้นไปเรื่อย ๆ ว่าที่จริงแล้วต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดอยู่ตรงไหน วิเคราะห์และประเมินข้อมูลทั้งหมดก่อนจะตัดสินใจว่าต้องใช้อะไรในการแก้ปัญหา ส่วนใหญ่แล้วทางออกของปัญหามักไม่ได้มีแค่ทางเดียว จึงต้องเป็นหน้าที่ต้องเราที่ต้อง analyze ข้อมูลทั้งหมดให้ดีก่อนว่าตัดสินใจแบบไหนจะส่งผลอย่างไรต่อใครบ้างแล้วค่อยตัดสินใจครับ
ซึ่งการตัดสินใจโดยใช้ Data ล้วนหรือใช้ประสบการณ์เพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เราควรจะใช้ทั้งข้อมูลหลังบ้าน อาจเป็นทั้งข้อมูลในเชิงตัวเลขเชิงระบบ รวมกับความรู้สึกของเราที่รู้จักตัวบุคคลในปัญหานั้น รวมถึงประสบการณ์ที่มีเข้ามาร่วมประเมินหนทางในการแก้ปัญหาด้วยครับ
มี Growth Mindset เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ที่เดิม
Mindset คือ วิธีคิดที่จะส่งผลต่อความเชื่อและวิธีปฏิบัติตัวของแต่ละคน โดยกรอบแนวคิดแบบที่พัฒนาได้ (Growth Mindset) เป็นหนึ่งในทักษะที่หลายคนบอกว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ เป็นวิธีคิดที่มองว่าคนเราสามารถเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองได้ เปิดกว้างและให้คุณค่ากับความพยายาม
พูดให้เห็นภาพ เช่น กรณีที่เราเจอปัญหาอะไรสักอย่าง คนมี Growth Mindset จะกล้าเผชิญหน้ากับมันและหาทางแก้ไขด้วยตัวเอง หรือถ้าเกินขอบเขตที่รับมือได้ก็ส่งต่อไปยังคนที่ช่วยได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือมองว่าตัวเองไม่สามารถรับมือได้
คนที่มี Growth Mindset จะมองว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติ เมื่อเกิดขึ้นก็เพียงแค่ต้องแก้ไขไป แต่หากเราเลือกจะทิ้งปัญหาไปหรือไม่สามารถรับมือได้เลย แปลว่าเราอาจจะขาดทักษะในส่วน Growth Mindset ครับ
ซึ่งหัวใจสำคัญที่สุด ในการฝึกฝนมุมมองของตัวเองให้ไปในทิศทางที่เติบโตได้ คือ การพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอและเชื่อในความสามารถของตัวเองครับ โดยที่ไม่ได้แปลว่าการพยายามอย่างเต็มที่จะเท่ากับความสำเร็จ แต่เป็นการให้โอกาสตัวเองพยายามงานหรือสร้างสรรค์บางอย่างสุดกำลังมากกว่า ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างทาง และการฝึก Growth Mindset ที่ดีต่อทุกเรื่อง คือการคิดแล้วลงมือทำทันทีครับ อย่ามัวแต่คิดแล้วเก็บไว้จนไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างสักอย่าง
สุดท้ายแล้วทั้ง 5 Soft Skills ที่เราหยิบมาพูดกันในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนได้เรียนรู้ผ่านการทำงานร่วมกับคนนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นทักษะที่จัดการได้ในตัวเองเลยอย่างรู้จักตัวเอง มีทัศนคติที่ดี และรู้จักปรับตัว หรือทักษะที่ต้องเกิดขึ้นเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างการสื่อสาร และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ต่างก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้การทำงานของเราเป็นไปได้อย่างราบรื่น