การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน เราถูกกำหนดด้วยปัจจัย กรอบ ข้อจำกัด ความคิดของคนรอบข้างหลาย ๆ อย่าง ในขณะที่บางครั้ง เราก็อยากเดินตามความฝัน ตามสิ่งที่รัก เเต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะไปได้สวยอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่
เราทุกคนล้วนมีความฝันที่อยากลองเดินตามมันดูสักครั้ง เเละ บูม วิชพงษ์ หัตถสุวรรณ ผู้ก่อตั้งแบรนด์กางเกงยีนส์ Selvedgework เเบรนด์คัสตอมยีนส์ชื่อดัง คือชายคนนึง ที่กล้าเดินออกมาจากกรอบ มาทำตามสิ่งที่ตัวเองรัก เเละประสบความสำเร็จ เเรงบันดาลเเละความคิดของเขา ในการที่กล้าออกมาทำในสิ่งที่ตัวเองรักจนเป็นรูปร่าง จนมาถึงการที่เขาเลือกที่จะเข้าสู่วงการของศิลปะ จะเป็นอย่างไรนั้น MenDetails มีโอกาสได้พูดคุยกับชายคนนี้ เกี่ยวกับการเดินทางของเขา สำหรับทุกคนที่อยากลองเดินตามความฝันครับ
ความรักในกางเกงยีนส์ สู่การกำเนิด Selvedgework
เมื่อเราเริ่มพูดคุยกับ คุณบูม วิชพงษ์ ถึงการกำเนิดของ Selvedgework เราจึงทราบว่า เเม้ครอบครัวของเขาจะทำธุรกิจเกี่ยวกับกางเกงยีนส์อยู่เเล้ว เเต่ต้องการให้เขาได้ทำงานที่มั่นคงเหมือนคนอื่นทั่วไป เเละนั่นทำให้เส้นทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“…ไปอธิบายให้พ่อเพื่อน จำได้เลย เขาพูดว่าเเบบ บ้าหรือเปล่า กางเกงยีนส์ตัวเท่านี้ใครจะซื้อ โดนมาหมดเลยครับ” บูม วิชพงษ์ กล่าวย้อนถึงอดีต เมื่อพูดถึงการเริ่มต้นเส้นทางการทำกางเกงยีนส์ ที่เป็นสิ่งที่เขารัก เเต่ไม่มีใครในบ้านที่สนับสนุน
คุณบูม วิชพงษ์ เล่าต่อว่า มันก็มีช่วงเวลาที่ท้อ โดนดูถูก ร้องไห้ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะออกมาดีหรือไม่ เเต่มันก็เป็นสิ่งที่อยู่ในหัวตลอด 24 ชั่วโมง น้ำเสียงของคุณบูม วิชพงษ์ เมื่อเล่าถึงอดีตดูขมขื่นเล็กน้อย เเต่เขาก็ปิดท้ายว่า มันเป็นการเดินทางที่สนุกดี
ในเมื่อการเดินทางเขารู้ตัวมันไม่ง่าย เเต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ล้มเลิกต่อความฝัน คือ ความชอบ มั่นใจ เชื่อว่ามันเจ๋ง ทำทุกอย่างจนเหมือนคนบ้า พูดถึงเรื่องกางเกงยีนส์ทั้งวัน คุณบูม วิชพงษ์ เริ่มต้นจากศูนย์ ค่อย ๆ สร้างเเบรนด์ จากกลุ่มเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัย เเบกเเคตตาลอคไปให้เพื่อน ๆ รุ่นพี่ รุ่นน้องดู วัดตัวเอง สั่งตัด จนเริ่มได้เงินมาก้อนหนึ่ง
สิ่งหนึ่งที่คุณบูม วิชพงษ์ บอกกับเรา คือ เขาไม่ได้ต้องการที่จะฉีกออกจากกรอบเพราะต้องการเท่ หรือ ไม่สนใจคนรอบข้างเลย เพราะสำหรับเขา “ครอบครัว” เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาต้องการให้คนในครอบครัวยอมรับกับเส้นทางที่เขาเลือกเดิน ไม่ใช่ฉีกออกจากกรอบเเบบไม่สนใจครอบครัว
จนสุดท้ายเเล้ว คุณบูม วิชพงษ์ ทำทุกอย่างออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เขาเอากล่องใส่กางเกงยีนส์ Selvedgework ไปให้พ่อดู เเละคำพูดของพ่อในวันนั้นว่า “ขายได้เเน่นอน” นั่นคือการยอมรับ เเละจุดเริ่มต้นของกางเกงยีนส์ Selvedgework ในวันนี้
จากกางเกงยีนส์ สู่วงการศิลปะ ในฐานะศิลปิน Modern art
หลังจากพูดคุยถึงเรื่องการกำเนิดของกางเกงยีนส์ Selvedgework เเล้ว ขณะกำลังเดินชมนิทรรศการ “Human Consciousness – Exploring the Mind ความรู้สึกตัวมนุษย์ – การสำรวจของจิตใจ” ของเขาที่จัดเเสดงอยู่ใน Duke Contemporary Art Space เกสร วิลเลจ อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากรู้คืออะไรที่ทำให้เขาเริ่มเข้าสู่เส้นทางศิลปะ
การสนใจเข้าสู่เส้นทางศิลปะของ คุณบูม วิชพงษ์ มีที่มาเรียบง่ายกว่าที่เราคิด จากเมื่อ 2 ปีก่อน (2561) ที่เขาเห็นการผสมสีจากอินเตอร์เน็ต จึงไปลองซื้อมาลองดู
“เหมือนมันได้ปล่อย มันได้อยู่กับปัจจุบัน เเละผมรู้สึกว่ายุคนี้อะไรที่เราจะอยู่กับปัจจุบัน 100% มันยากมาก”
เเน่นอนว่าการหันเข้าหาศิลปะครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มทำกางเกงยีนส์ ในตอนเเรกครอบครัวของ คุณบูม วิชพงษ์ ก็ยังไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเห็นว่าเป็นงานอดิเรก เเต่เขาที่เห็นช่องทางที่พอจะสร้างรายได้ได้ ไปอธิบายให้ครอบครัวฟัง ก็ไม่ได้รับความเห็นด้วยจากครอบครัวนัก โดยเฉพาะเเม่ ที่เป็นห่วงว่ามันจะขายไม่ได้
เราจึงถามคำถามเดิมอีกครั้ง ว่าทำไมถึงยังทำมันอยู่ เเละคำตอบที่ได้ ก็เหมือนเดิมเช่นกัน นั่นคือคำว่า “รัก” ในสิ่งที่ทำ ส่วนเหตุผลที่เขาทำศิลปะ เพราะเขาต้องการให้ใครสักคนที่ได้มองเห็นภาพที่เขาวาด เเล้วได้อะไรกลับไป ไม่ว่าจะเป็นความสุข หรือเเรงบันดาลใจ อาจจะเเค่สักไม่กี่วินาที ในโลกที่วุ่นวายใบนี้ เป็นจุดมุ่งหมายของคุณบูม วิชพงษ์
“รู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอสิ่งที่ตัวเองรัก การที่จะตอบเเทนกับสิ่งที่เราได้มา ก็คือการทำให้มันเต็มที่”
หากคำพูดของพ่อว่า “ขายได้เเน่นอน” คือสัญญาณการยอมรับกางเกงยีนส์ Selvedgework จากครอบครัว จนมันสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง สำหรับเส้นทางศิลปะนั้น คุณบูม วิชพงษ์ บอกว่าการจัดนิทรรศการที่ Duke Contemporary Art Space คือการบอกกับครอบครัวว่า เขาจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่ เเละการที่ครอบครัวมาดูนิทรรศการของเขา ได้มาเห็นภาพ การจัดวางต่าง ๆ จึงเป็นเหมือนการยอมรับในเส้นทางศิลปะของเขาด้วย
ฝากเเรงบันดาลใจ สำหรับคนที่อยากตามความฝัน
“อย่าเเคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำ เพราะว่าเราคนเดียวที่จะเข้าใจตัวเอง คนอื่นเขาก็มองจากอีกกี่มุมล่ะ มันเยอะมากเลยครับ” คุณบูม วิชพงษ์ พูดเมื่อเราถามถึงเเรงบันดาลใจในการเดินออกมาจากกรอบ “ผมมองว่าชีวิตมันมีชีวิตเดียวครับ” เขาเสริม
คุณบูม วิชพงษ์ ยังคงยืนยันคำเดิมว่าครอบครัวสำคัญที่สุด การเดินออกนอกกรอบ ไม่ใช่การเอาชนะครอบครัว ไม่ใช่การทำอะไรก็ได้เเบบไม่สนใจคนอื่น เเต่เป็นการที่ครอบครัวเข้าใจที่เรากำลังทำ เพราะมันทำให้ความสัมพันธ์มันเปิด พูดคุยกันได้ ไม่ต้องเป็นห่วงกัน
“ชีวิตมันไม่มีอะไรมาก ใช้มัน มีความสุขกับมัน ไม่เดือดร้อนคนอื่น ทำสิ่งที่ตัวเองรัก เเละมอบความรักให้ทุกคน”
ปัญหาหนึ่งของการเดินตามความฝัน ก็คือเรื่อง “เงิน” หลายคนอยากเดินตามความฝัน เเต่ก็กลัวไม่มีกิน คุณบูม วิชพงษ์ ก็ยอมรับว่า ตัวเขาเองก็กลัวเหมือนกับคนอื่น ๆ เเต่เขามองว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ชอบไปเรื่อย ๆ เราก็จะเก่งในเรื่องนั้น เเละพอเราเก่งในเรื่องนั้น มันจะมีตลาดให้เราสร้างรายได้ เพราะเราต้องการเเค่รายได้ที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้โดยที่ไม่ต้องยึดเงินเป็นเรื่องใหญ่
“เเล้วเรื่องเวลาล่ะครับ เวลาก็เป็นข้ออ้างหนึ่งของหลาย ๆ คน ที่อยากทำสิ่งที่ชอบนะ เเต่ไม่มีเวลา” เราอดไม่ได้ที่จะถามออกไป เพราะนอกจากเงินเเล้ว เวลาก็เป็นสิ่งสำคัญไม่เเพ้กัน
“เราเลือกได้ ทำให้มันสมดุลได้ เเค่ต้องเริ่มทำ อาจจะเริ่มทำทีละนิด เลิกงานเเล้วค่อยทำ ได้หมดเลยครับ เเต่ต้องเริ่มทำ” คุณบูม วิชพงษ์ ตอบกลับมาในทันที เพราะตัวเขาเอง งานศิลปะก็เป็นสิ่งที่เขาทำหลังเวลางานจาก Selvedgework เเต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ก้าวเเรก ที่เราจะเริ่มทำมันจริง ๆ
สถานการณ์ของเขาเอง จะว่าไปเเล้วก็ไม่ได้เเตกต่างจากคนอื่นนัก คือ มีงานประจำ เเล้วก็หาเวลาทำสิ่งที่รัก เพราะทุกคนมีเวลาเท่ากัน
“เเล้วถ้าไม่ล้มเหลวเลยนี่น่ากลัวมาก เพราะมันไม่ได้พัฒนาตัวเอง ส่วนความกลัว มันเป้นสิ่งที่เอาออกไปไม่ได้อยู่เเล้ว เราเเค่ต้องฮึบสู้กับมัน”
เราถามคุณบูม วิชพงษ์ ถึงเรื่องรูปภาพที่ เป็นเเรงบันดาลใจสำหรับคนที่ต้องการเดินตามความฝัน อย่ากลัวความล้มเหลว ทำในสิ่งที่รัก มันสามารถเทียบได้กับรูปไหน ที่จัดเเสดงอยู่ในนิทรรศการ
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คุณบูม วิชพงษ์ พาเราเดินมาหยุดที่รูปภาพรูปหนึ่ง ที่ในตอนเเรกเราก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมัน เเต่เขาก็เริ่มอธิบายทันทีว่าตอนวาดนั้นเขาคิดอะไรอยู่
“ตอนนั้นผมจะบ้าเเล้วครับ รู้สึกไม่รักตัวเอง ไม่ภูมิใจในตัวเอง จัดการชีวิตตัวเองไม่ดี สับสนกับชีวิต มีอีโก้สูงมาก เเละคำตอบที่ได้คือ ต้องเปลี่ยนเเปลง” คุณบูม วิชพงษ์ เล่าถึงความรู้สึกเมื่อวาดรูปภาพนี้ออกมา
ชื่อรูปภาพนั้น คือ “Destruction and Rebirth” สื่อถึงการทำลายตัวตนเก่า ตัวตนที่ไม่ดีของเราทิ้งไป เพื่อ “เกิด” ใหม่ สร้างตัวตนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เเละคนเราตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ ก็สามารถกำเนิดใหม่ได้ตลอดเวลา
ทำในสิ่งที่รัก คำนึงถึงครอบครัว พัฒนาตัวเอง เเบ่งเวลาชีวิตให้สมดุล อย่ากลัวความล้มเหลวเเละเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นตลอดเวลา เพราะชีวิตมันก็มีอยู่เเค่นี้จริง ๆ
ติดตามงานของ “บูม” วิชพงษ์ หัตถสุวรรณ ได้ที่ instagram.com/boomlhart