เคยไหมครับที่รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจเรื่องบางอย่างในอดีตผิดพลาด และเผลอคิดว่าถ้าหากย้อนกลับไปแก้ไขได้ก็คงดี กว่าจะเข้าใจความหมายและคุณค่ากับเวลา บางทีอาจจะสายเกินไป วันนี้ MenDetails.com หยิบ วรรณกรรมแปล 3 เรื่องจากโลกตะวันออก มาแนะนำให้ได้ลองอ่านดูครับ ใจความสำคัญของทุกเล่มอยู่ที่การย้อนกลับไปยังอดีต หรือติดต่อกับคนในอดีต มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันครับว่า ปาฏิหาริย์ของเวลาจะส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
ナミヤ雑貨店の奇蹟
(Namiya Zakkaten no Kiseki)
ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ
ผู้เขียน : ฮิราชิโนะ เคโงะ ผู้แปล : กนกวรรณ เกตุชัยมาศ
สำนักพิมพ์ : น้ำพุสำนักพิมพ์
จำนวนหน้า : 507 หน้า
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
ナミヤ雑貨店の奇蹟 (Namiya Zakkaten no Kiseki) หรือชื่อไทย “ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ” วรรณกรรมแปล ผลงานของฮิงาชิโนะ เคโงะ นักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อดังที่มี ยอดขายกว่า 12 ล้านเล่มจนถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ เป็นวรรณกรรมที่ติดอันดับ Best-Seller อันดับต้น ๆ ในร้านหนังสือไทยในปี 2019 อยู่เป็นเวลาหลายเดือนเลยล่ะครับ และเมื่อได้อ่านก็ต้องหยิบมาแนะนำต่อจริง ๆ เรื่องราวเริ่มต้นในคืนวันที่ 13 เดือนกันยายน หัวขโมยสามคนได้แอบย่องเบาเข้าไปในบ้านร้างที่เคยเป็นร้านชำเก่าแก่เพื่อหลบหนีการจับกุมของตำรวจ
เรื่องน่าแปลกคือคืนนั้นมีจดหมายปรึกษาปัญหาส่งมายังกล่องนมตรงประตูหน้าร้าน ทำไมถึงมีจดหมายส่งมายังบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่แล้ว? ที่สำคัญเพื่อนหัวขโมยทั้งสามยังไม่เห็นตัวคนส่งอีกด้วย ระหว่างที่คิดเรื่องจะทำอย่างไรกับตัวจดหมาย อัตสึยะ โช และโคเฮก็ได้คำตอบว่า ร้านชำนามิยะที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น เป็นร้านชำที่เคยมีชื่อเสียงในอดีตว่าช่วยแก้ปัญหากลุ้มใจได้ทุกเรื่องโดยคุณตาเจ้าของร้าน คุณนามิยะจะตอบจดหมายที่มีคนเขียนมาขอคำปรึกษาในทุก ๆ วัน
ทั้งสามคนตัดสินใจเขียนจดหมายตอบกลับและทราบความจริงว่านั่นเป็นจดหมายที่ถูกส่งมาจากอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน พวกเขาได้รับจดหมายหลายฉบับจากคน ๆ เดิม และในตอนที่จะเลิกตอบก็กลับมาจดหมายจากคนใหม่ส่งเข้ามาอีก ปาฏิหาริย์แห่งกาลเวลาที่เกิดขึ้นในคืนเดียว ทำให้โจรสามคนรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตขึ้นมา เรื่องราวดำเนินไปโดยสลับพาร์ทปัจจุบันและอดีตทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงของบุคคลและเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน เป็นเล่มที่ควรค่าแก่การอ่านมากครับ
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
ข้อคิดจาก ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ
เมื่อเผชิญกับปัญหา คนเราย่อมต้องการเล่าและปรึกษากับใครสักคนอย่างแน่นอน แต่การจะเลือกให้ใครได้รับรู้ปัญหานั้น คงขึ้นอยู่กับเราอยากได้ ผู้ ‘ฟัง’ หรือ ผู้ ‘ให้คำปรึกษา’ กันแน่ เราเชื่อว่าการที่คุณตานามิยะมีคนส่งปัญหามาปรึกษาตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ เช่น จะทำอย่างไรให้ได้คะแนนสอบเต็มร้อย โดยที่ไม่ใช่การโกงหรือการต้องตั้งใจอ่านหนังสือ ไปจนกระทั่งเรื่องใหญ่อย่างควรจะหนีตามพ่อแม่ที่ต้องหนีหนี้หรือไม่ เกิดจากคุณตานามิยะ ตั้งใจ ‘ฟัง’ ปัญหานั้นเป็นอย่างดี
คำตอบที่อ่อนโยนและพยายามเข้าใจตัวตนของคนที่ประสบปัญหานั้น ทำให้ใครต่างก็อยากส่งจดหมายมาเสมอ แท้จริงเวลาเอาปัญหาไปปรึกษาใคร คนเรามักมีคำตอบในใจตัวเองอยู่แล้ว ถ้าได้คำตอบที่ไม่ตรงตามที่คิดไว้ เราก็จะปรึกษาปัญหานั้นซ้ำอีกครั้ง ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนล้วนเลือกทางที่ตัวเองคิดไว้เสมอ เฉกเช่น ชิสุโอกะ ที่เลือกจะฝึกซ้อมกีฬาฟันดาบเพื่อไปเป็นตัวแทนในการแข่งขันโอลิมปิก แทนที่จะอยู่กับชายคนรักในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา หรือ โคสุเกะ ที่เลือกจะหนีไปจากพ่อแม่และไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกเลย
ปาฏิหาริย์ร้านชำเป็นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยความรักความฝัน ทำให้เห็นถึงผลของคำพูดและการกระทำ คำปรึกษาบางคำคนอาจเปลี่ยนชีวิตคนได้ และการกระทำของเราอาจส่งผลกับคนอื่นได้มากกว่าที่เราคิด
คำตอบสุดท้ายที่คุณนามิยะเขียนตอบกลับจดหมายฉบับเปล่าที่พวกอัตสึยะส่งไป เป็นบทสรุปที่ยอดเยี่ยมครับ ในจดหมายบอกไว้ว่าคนเราสามารถวาดแผนที่ชีวิตตัวเองอย่างไรก็ได้ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เรามีอิสระและความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดรออยู่
コーヒーが冷めないうちに
(Kohi ga Samenai Uchi ni)
เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น
ผู้เขียน : คาวางุจิ โทชิคาซึ ผู้แปล : ฉัตรขวัญ อดิศัย
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
จำนวนหน้า : 266 หน้า
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
コーヒーが冷めないうちに (Kohi ga Samenai Uchi ni) หรือชื่อไทย “เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น” เป็น วรรณกรรมแปล ที่เราได้รู้จักตอนภาพยนตร์ Café Funiculi Funicula ออกฉาย หนังสือทำยอดขายได้กว่า 800,000 เล่มในญี่ปุ่นจึงถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ‘นิยายเรื่องนี้จะทำให้คุณเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการย้อนเวลา’ คำโปรยบนปกว่าไว้แบบนั้น เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน ฟูนิคูลี ฟูนิคูลา ร้านกาแฟที่เป็นตำนานเมืองว่า หากใครได้นั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งในร้านนั้นจะได้เดินทางไปยังช่วงเวลาที่ปรารถนาได้
แต่การเดินทางข้ามกาลเวลา มีกฏที่ยุ่งยากอยู่หลายข้อทีเดียว คือ เมื่อย้อนอดีตไป ไม่ว่าจะทำอย่างไร ทุกอย่างจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และคุณไม่สามารถลุกจากเก้าอี้นั่งไปที่อื่นได้ สามารถพบได้เพียงคนที่เคยมายังร้านเท่านั้น โดยช่วงเวลาที่จะย้อนอดีต จะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหลังพนักงานรินกาแฟแล้วเท่านั้น จะอยู่ในอดีตได้แค่ตอนกาแฟยังอุ่นอยู่ และต้องดื่มกาแฟให้หมดแก้วก่อนกาแฟจะเย็นชืดเพื่อกลับมายังปัจจุบัน
ทุกคนที่มายังร้านกาแฟล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน นั่นคือมองว่าตนเองได้ทำพลาด ไปในอดีต จึงอยากได้โอกาสในการย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลานั้นอีกสักครั้งหนึ่ง แม้รู้ว่าการย้อนเวลาเปลี่ยนแปลงอะไรในปัจจุบันไม่ได้ก็ตาม แต่เพราะเรื่องในอดีตเป็นเรื่องของคนสำคัญเลยทำให้แต่ละคนกล้าที่จะเผชิญหน้าไปกับความอัศจรรย์ของเวลา
ข้อคิดจากเพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น
หลายครั้งที่ตัดสินใจพลาดจนอยากย้อนกลับไปแก้ไขคำพูดและการกระทำบางอย่างในอดีตของตัวเอง เกิดขึ้นเพราะเรามีเวลาคิดถึงเรื่องนั้นซ้ำ ๆ และมีสติพอที่จะมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ มุม
แม้กฏของร้านจะบอกเอาไว้ชัดเจนว่าการย้อนเวลาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน แต่ทุกคนก็ยังยอมรับเรื่องนั้น เพื่อให้ได้โอกาสให้การแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองอีกสักครั้งหนึ่ง หนังสือเล่มนี้แฝงข้อเตือนใจเอาไว้อย่างชัดเจน ในเมื่อชีวิตจริงไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไป เราไม่ควรกระทำสิ่งใดให้ตัวเองรู้สึกว่าทำผิดพลาด คือ อย่าทำตามอารมณ์มากจนเกินไป จงใจเย็น มีสติและคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจอะไรสักอย่างหนึ่ง
遗憾收纳员
(Yi Han Shou Na Yuan)
ศูนย์รับฝากความเสียใจ
ผู้เขียน : ซื่ออี ผู้แปล : รักสิริ
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
จำนวนหน้า : 222 หน้า
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
‘แด่ความเสียใจที่ไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง’ คำโปรยบนปกหนังสือเรื่องศูนย์รับฝากความเสียใจครับ วรรณกรรมแปล จากไต้หวันที่มียอดขายกว่า 500,000 เล่ม ขณะที่อ่านจะรู้สึกถึงกลิ่นอายการเล่าเรื่องแบบนวนิยายแปลของญี่ปุ่นเล็ก ๆ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ศูนย์การค้าใต้ดินสถานีไทเป “อ้ายหมิน” เด็กสาววัยมัธยมเก็บจดหมายสามฉบับที่คุณตาท่านหนึ่งลืมทิ้งไว้ในรถไฟใต้ดินได้ จึงตั้งใจจะนำของไปฝากไว้ที่ศูนย์รับฝากของในสถานี แต่สถานที่ที่เธอพบกลับเป็น ‘ศูนย์รับฝากความเสียใจ’ แทน
“คุณไม่ได้เป็นคนหาที่แห่งนี้เจอ แต่เป็นเพราะที่นี่ยอมให้คุณเจอต่างหาก” เจ้าหน้าที่ชายอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์ที่มีแสงสว่างขาววาบเป็นคนกล่าวขึ้นมา บรรยากาศรอบเงียบสงบ เหมือนถูกแยกออกไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ศูนย์รับฝากความเสียใจเป็นที่ซึ่งคุณสามารถส่งจดหมายกลับไปยังอดีตให้แก่คนที่ไม่อาจพบได้อีก หรือหมายถึงคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้ส่งและผู้รับต้องเคยพบหน้ากันมาก่อน โดยไม่สามารถส่งของที่จะเปลี่ยนแปลงปัจจุบันหรือบอกว่าผู้ส่งมาจากอนาคตได้
ช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ณ เวลากลางสัปดาห์ เวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันและกลางคืน โดยคนที่มีโอกาสใช้บริการจะเป็นคนที่มีความเสียใจในอดีตอย่างแรงกล้าเท่านั้น เป็นเล่มที่ร้อยเรียงเรื่องราวปัจจุบันสลับกับอดีต เชื่อมโยงตัวละครในแต่ละบทได้อย่างกลมกล่อม ทิ้งปมเล็ก ๆ เรื่องวันเวลาบนจดหมายไว้ทีละน้อยให้ได้คิดระหว่างอ่าน แก้ปมไม่ยาก แต่วางไม่ลง
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
ข้อคิดจากศูนย์รับฝากความเสียใจ
หลายครั้งในชีวิตที่ใคร ๆ คิดว่า หากย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องนั้นเรื่องนี้ในอดีตได้ก็คงดี ศูนย์รับฝากความเสียใจก็เป็นศูนย์ที่มีเพื่อคนที่มีความในใจหนักอึ้งแบบนั้น แต่แตกต่างตรงที่มันไม่ใช่การกลับไปแก้เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการส่งของกลับไปแก้ไขการรับรู้บางอย่างของคนที่ไม่ได้พบกันอีกแล้วเพื่อให้ไม่มีอะไรต้องติดค้างต่อกัน ความเสียใจที่หลีจยาถี หลันโย่วฉี คุณตาจาง และหงเฮ่ามี ได้ถูกอุดรอยรั่วแล้ว
ความเสียใจเหล่านั้นมีไว้เพื่อให้ทะนุถนอมปัจจุบัน ทำให้เห็นถึงผลของการกระทำ เป็นเครื่องเตือนใจว่าเราไม่ควรทำผิดพลาดซ้ำสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางทีคนเราอาจไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงอดีต แค่อยากได้อยากลดทอนความเสียใจที่ยังแบกรับเอาไว้ในปัจจุบันมากกว่า และบางครั้งเวลาเพียงชั่วขณะอาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล
ความจริงก็คือ เราย้อนกลับไปในอดีตไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพาตัวตนย้อนกลับไปหรือส่งของบางสิ่งบางอย่างก็ตาม สิ่งที่ทำได้มีเพียงทำปัจจุบันให้ดีที่สุดครับ ตระหนักถึงน้ำหนักของคำพูด และการกระทำของเราว่ามันสามารถส่งผลต่อตัวเองและคนอื่นได้มากเพียงไร เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจอยากกลับไปแก้ไขอดีต ไม่ต้องพูดกับตัวเองว่า ‘วันนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย’