ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2021 ที่ผ่านมา เมื่อสถานการณ์โควิดของโลกค่อย ๆ เริ่มดีขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ กลับมีปรากฏการณ์ประหลาดที่คนจำนวนหลายสิบล้านคนพร้อมใจลาออกในเวลาไล่ ๆ กันจากทุกบริษัท ทำให้เรียกว่าการ ลาออกครั้งใหญ่ หรือ The Great Resignation โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีจำนวนคนลาออกมากขึ้นจนสังเกตได้ นำมาสู่การวิเคราะห์สภาพสังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบัน ในยุคหลังโควิด 19 ว่าอะไรที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น และกำลังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งไทยที่ดูเหมือน The Great Resignation ก็กำลังจะเริ่มขึ้นเช่นกัน
MenDetails ชวนคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ รวมถึงวิธีเตรียมตัวคร่าว ๆ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่คิดจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ ว่าในการลาออกควรพิจารณาอะไรบ้างและองค์กรต่าง ๆ มีการปรับตัวกันอย่างไร
ลาออกครั้งใหญ่ ผลกระทบจากชีวิตยุคโควิด ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนทำงานยุคใหม่
เมื่อโควิดระบาดไปทั่วโลกในปี 2020 สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะมัน คือ วิถีชีวิตการทำงานแบบเดิมที่ตื่นเช้ามาเข้าที่ทำงาน ตอนเย็นเดินทางกลับบ้าน บริษัทส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกนอกจากให้พนักงาน Work from home หรือทำงานจากที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ส่งงาน ทุกอย่างล้วนทำโดยใช้คอมพิวเตอร์ที่อยู่ที่บ้านทั้งสิ้น ในเวลาต่อมาแม้สถานการณ์โลกจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโควิดจะจบลง ทำให้บางบริษัทเริ่มปรับให้เข้าที่ทำงานบ้างในหนึ่งสัปดาห์แต่ไม่ทุกวัน
และการทำงานที่บ้านนี้เองที่ทำให้วิถีชีวิตการทำงานของผู้คนทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนไป เพราะคนเริ่มชินกับการทำงานที่บ้านและมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น คนเริ่มเห็นความจำเป็นของการที่ทำงานทุกวันน้อยลง เพราะในช่วงโควิดก็ได้พิสูจน์แล้วว่า แม้ไม่ต้องเข้าที่ทำงานทุกวันก็ยังสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ทำให้เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายในหลายประเทศ คนทำงานหลาย ๆ คนก็ยังชอบการใช้ชีวิตแบบนี้ หรือสามารถปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ไปแล้ว เมื่อบริษัทเริ่มให้กลับเข้าไปทำงานในที่ทำงานทุกวันเริ่มไม่ตอบโจทย์ หลาย ๆ คนเลยอยากลาออกเพื่อหางานที่ตอบโจทย์กับชีวิตตัวเองมากยิ่งขึ้น อาจเป็นงานที่ไม่ต้องเข้าที่ทำงานทุกวัน งานที่ทำให้ตัวเองมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
หรือแม้แต่บางคนที่ลาออกเพราะไม่พอใจในนโยบายของที่ทำงานในช่วงสถานการณ์โควิดก็มีไม่น้อยครับ ไม่ว่าจะด้วยการสั่งงานที่ไม่เป็นเวลา การประชุมยิบย่อยที่ไม่จำเป็นมากเกินไป งานที่หนักหนาขึ้น ไปจนถึงเรื่องการยืนยันตัวตนหน้าคอมพิวเตอร์ที่หลายบริษัทอาจมีการตามตัวหรือให้ยืนยันตัวตนบ่อยก่อนไป (อาจจะทุกชั่วโมง) นำไปสู่ภาวะ Burn out หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน เพราะคนรู้สึกว่าไม่สามารถแบ่งเวลาส่วนตัวกับเวลางานขาดจากกันได้อีกต่อไป ทำให้หลายคนตัดสินใจลาออก หรือเปลี่ยนงาน เพื่อหนีจากนโยบายแย่ ๆ เมื่อคนจำนวนเป็นล้าน ๆ คิดแบบเดียวกัน จึงนำไปสู่ปรากฏการณ์ ลาออกครั้งใหญ่ เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มซาลงนั่นเอง
การลาออกครั้งใหญ่นี้ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเดียวก็มาคนลาออกเป็นหลักล้านคน ถ้านับแค่เดือนเมษายนอย่างเดียวก็ 4 ล้านคนเข้าไปแล้ว เป็นสัญญาณว่าคนทำงานรุ่นใหม่กำลังมองหาวิถีการทำงานที่ตอบโจทย์ตัวเองมากยิ่งขึ้น นั่นทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ แห่งทั่วโลกต้องเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายในการทำงานเพื่อรั้งคนที่ทำงานอยู่เอาไว้ หรือแม้แต่สร้างความน่าสนใจให้คนที่เพิ่งลาออกจากงานมาสมัครงาน เช่น ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานทุกวัน มีวันหยุด 3 วัน เป็นต้น เพื่อให้คนทำงานที่ชินกับชีวิตการทำงานยุคโควิดไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องกลับเข้าสู่สังคมการทำงานแบบเดิม และก็คาดว่าน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
สำหรับประเทศไทย แม้การลาออกของคนทำงานจำนวนมากพร้อม ๆ กันแบบในสหรัฐอเมริกาและทางฝั่งยุโรปจะยังไม่ได้มีตัวเลขที่โดดขึ้นมาจนน่าตกใจ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีคนลาออกด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่เราพูดถึงนี้ ทำให้หลาย ๆ บริษัทและหน่วยงานเริ่มมีการเตรียมรับมือคนที่จะลาออก ส่วนคนที่จะลาออกก็ต้องมีการเตรียมตัวที่ดีเช่นกัน เพราะสถานการณ์โควิดในไทยยังคงต้องเฝ้าระวังไม่เหมือนทางฝั่งตะวันตก
คนที่ตั้งใจจะลาออกจากงาน ควรพิจารณาอะไรบ้าง
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังคิดจะลาออกจากที่ทำงานเดิม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ หากยังอยู่ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด การลาออกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ควรคิดและพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะคนทำงานยุคใหม่ เป็นเด็ก Generation ใหม่ หลาย ๆ คนเป็นพวก First Jobber หรือเพิ่งเข้าสู่ชีวิตของการทำงานครั้งแรก ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์นัก
มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เราอยากแนะนำให้พิจารณาอย่างรอบคอบ อันดับแรกที่เราควรทำเมื่อเกิดความคิดอยากลาออก นั่นก็คือ การคิดทบทวนตัวเองดูอีกครั้งว่าความคิดที่เราอยากลาออกเป็นเพียงความคิดชั่ววูบ หรือเกิดจากความไม่ชอบในตัวงานที่ทำ หรือเป็นปัญหาจากคนที่ทำงานร่วมกัน เงินเดือนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับงานที่ทำ หรืออาจเป็นเพียงอาการหมดไฟเฉย ๆ สาเหตุที่อยากลาออก จะทำให้เราเห็นว่าทางออกของปัญหานั้นจริง ๆ แล้วคืออะไร หากตัดสินใจเร็วแล้วรีบลาออกเลย อาจส่งผลเสียต่อเราเพราะไม่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ ทั้งการเตรียมหางานไปจนถึงการจัดการทางการเงิน
หากคิดจะลาออกอย่างจริงจังแล้วก็ควรพูดคุยกับหัวหน้าอย่างเป็นทางการครับ เนื่องจากตามมารยาทแล้วเราต้องทำงานต่ออีก 30 วันระหว่างที่บริษัทต้องหาคนใหม่มาทำงานแทน อาจมีการพูดคุยถึงเหตุผลที่ลาออกเพื่อที่หัวหน้างานจะได้ปรับหรือแก้ไขปัญหาส่วนนั้นในการร่วมงานกับคนใหม่ต่อ ๆ ไป ที่สำคัญเมื่อลาออก เราอยากให้เป็นการจากกันด้วยดีมากกว่าความรู้สึกแย่ ๆ ควรขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือกันในที่ทำงานเพื่อให้เราเติบโตขึ้นต่อไป
หากใครลาออกแล้วมีที่ทำงานใหม่เลยก็ถือเป็นเรื่องดีครับ หรือใครที่ออกมาเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะถือว่ามีการวางแผนมาแล้วว่าเมื่อลาออกมาจะมาทำอะไรเพื่อให้รายได้ไม่ขาดตอน แต่หากลาออกแล้วแต่ยังไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ยังไม่ได้ไปสมัครงานอื่นก็ต้องพิจารณาหลาย ๆ อย่างมากขึ้นก่อนลาออก เช่น เงินเก็บของเราในปัจจุบันมีเท่าไหร่ เพราะเมื่อลาออก เท่ากับเราไม่มีรายรับประจำแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังเท่าเดิม ยิ่งเป็นยุคโควิดที่หางานยากขึ้น เพราะหลาย ๆ บริษัทก็อยากประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทำให้บางสายงานหางานได้ยาก การที่เรามีเงินสำรองตุนไว้อย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปี ในความเห็นของเราน่าจะยังพอให้การใช้ชีวิตระหว่างหางานไม่ลำบากนัก
สุดท้ายแล้วหากคิดว่างานที่ทำไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิต ไม่ได้พัฒนาความสามารถหรือเป็นทิศทางในอนาคตที่เราอยากเติบโตไป หรือกระทั่งทำแล้วส่งผลต่อชีวิตส่วนตัว สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ดี ก็ควรเอาตัวเองออกมาจากจุดนั้นแล้วเริ่มต้นใหม่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในระยะยาวครับ
บริษัทและองค์กรต่าง ๆ มีการเตรียมการรับมืออย่างไร
สำหรับบริษัทและองค์กร การที่ต้องรับมือกับการลาออกครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้ เราสามารถเห็นการรับมือเรื่องนี้ผ่านวัฒนธรรมองค์กรหรือนโยบายใหม่ขององค์กรที่ปรับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้พนักงานไม่รู้สึกกดดันและลาออก หรือการปรับนโยบายตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เพื่อดึงให้คนเข้ามาสมัครงาน รวมถึงหลายองค์กรก็ใช้โอกาสนี้ในการปรับผังองค์กรให้มีความคล่องตัวมากขึ้น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต
เมื่อดูทิศทางของวิถีชีวิตคนทำงาน กับการปรับตัวขององค์กรต่าง ๆ แล้ว ก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คือวิถีชีวิตการทำงานแบบใหม่ที่เปลี่ยนไปจากยุคก่อนโควิด และน่าจะเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร เพราะโควิดนี้เกิดในช่วงเปลี่ยนผ่านเจนเนอเรชั่นพอดี คนปลาย Gen Y และ Gen Z ทั่วโลกกำลังเข้าสู่วัยทำงาน กำลังเรียนจบและหางาน คนกลุ่มนี้มีความคิด มีไลฟ์สไตล์ที่ต่างจากคนรุ่นก่อน อย่าง Baby Boomer หรือ Gen X ค่านิยมในการทำงานก็เปลี่ยนไป เมื่อมาเจอกับชีวิตในช่วงโควิดที่ทำให้พวกเขามีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้การเข้าที่ทำงานทุกวันกลายเป็นสิ่งที่เหมือนจะไม่สำคัญนัก และเขาเหล่านี้มักจะให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance เป็นอย่างมาก
นั่นทำให้เราเห็นนโยบายใหม่ ๆ จากบริษัทชั้นนำทั่วโลก เช่น การลดจำนวนวันที่ต้องเข้าที่ทำงาน ทำให้คนทำงานมีวันที่ได้ทำงานอยู่บ้าน รูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ การเพิ่มวันหยุดเป็นหยุด 3 วันเพื่อให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น การปรับผังองค์กรลดความวุ่นวายในการติดต่อ ทำให้งานดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วไปจนถึงการปรับนโยบายสภาพแวดล้อมการทำงาน อย่างการไม่ประชุมวันศุกร์ การสื่อสารกับพนักงาน การดูแล เอาใจใส่พนักงานที่ยังทำงานอยู่ให้อยากทำงานที่เดิมต่อ เป็นต้น
นอกจากการพยายามดึงพนักงานใหม่และลดการลาออกของพนักงานเดิม ในช่วงโควิดแบบนี้ทำให้หลายองค์กรได้หันกลับมามองระบบการทำงานของตัวเองว่ามีอะไรที่ไม่จำเป็น เปลืองค่าใช้จ่ายโดยสูญเปล่าหรือไม่ด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงขององค์กรให้เข้ากับยุคหลังจากโควิดนี้น่าจะยังมีการปรับเปลี่ยนอยู่พอสมควร เพราะถ้าว่ากันจริง ๆ แล้ว หลายองค์กรก็อยากให้พนักงานกลับไปนั่งทำงานในที่ทำงานมากกว่า ซึ่งจะนำไปสู่การหาจุดลงตัวของแต่ละองค์กรว่าจะตกลงกับพนักงาน มีการปรับเปลี่ยนมากน้อยเพียงใด
นี่เป็นเพียงรายละเอียดคร่าว ๆ ของปรากฏการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า The Great Resignation เท่านั้น และในยุคโควิดก็มีปรากฏการณ์ทางสังคม หรือการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนทั่วโลกอยู่อีกมาก แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้มนุษยชาติได้เรียนรู้และเตรียมตัวรับมือกับเหตุต่าง ๆ ในอนาคต และเพื่อพัฒนาและปรับตัวต่อไปเรื่อย ๆ ครับ