มีคำกล่าวที่ MenDetails เชื่อว่าเราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาพอสมควรว่า “เงินซื้อเวลาไม่ได้” แต่ สูตร 2000 Formula อาจกำลังเถียงอยู่ในใจ และพยายามจะบอกว่า “เงินอาจซื้อเวลาให้คุณได้” ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า เราให้คุณค่ากับอิสระและเวลาของตัวเราเองมากน้อยขนาดไหน
สูตร 2000 Formula นี้ดัดแปลงจากการที่ MenDetails ได้ศึกษาแนวคิดจากหนังสือที่มีชื่อว่า “The 4-Hour Work Week” เขียนโดย Timothy Ferriss ซึ่งเป็นหนังสือที่พูดถึงการทำงานหารายได้ในรูปแบบที่สามารถให้เวลาและอิสระในการทำงานของเราได้มากขึ้น โดย ทิม เฟอร์ริส ใช้หลักการคำนวณคร่าว ๆ เพื่อหา “รายได้ต่อชั่วโมง” จากนั้นจึงแนะนำให้เรา “Outsource” หรือว่าจ้างพนักงาน Freelance ที่จะมาควบคุมดูแลการทำงานของเรา โดยมีตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงของเราเองเป็นเกณฑ์หรืออัตราในการว่าจ้างนั่นเอง
รายละเอียดของ สูตร 2000 Formula
MenDetails ได้ปรับสูตรวิธีการคำนวณคร่าว ๆ มาให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นกลายเป็น 2000 Formula โดยมีวิธีการคิดดังต่อไปนี้ครับ
สูตร 2000 Formula
รายได้ต่อปี / 2000 = ค่าแรงในการทำงานของเราต่อ “1 ชั่วโมง”
ตัวอย่างเช่น นาย A มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการขายสินค้าออนไลน์ประมาณ 500,000 บาท ต่อปี เมื่อนำมาหารด้วย “2000” จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 250 บาท แปลว่านาย A ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการทำงานแลกเป็นเงินได้ประมาณ 250 บาทนั่นเอง
ประโยชน์ของสูตร 2000 Formula
ภาพของ “รายได้ต่อเดือน” ที่คนไทยคุ้นเคยเป็นภาพที่ “หยาบเกินไป” ในการพิจารณาคุณค่าและราคาของเวลาของเราเองว่ามีค่าเท่าไหร่ ดังนั้นการที่เราเฉลี่ยออกมาว่า รายได้ต่อชั่วโมงของเราเองเท่ากับจำนวนเงินกี่บาทนั้นจะช่วยให้เราตระหนักถึง “ราคาของเวลา” ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น
เปลี่ยนคนทำธุรกิจส่วนตัว เป็น “ผู้ประกอบการ”
คนที่ทำธุรกิจส่วนตัวสามารถใช้ประโยชน์ของสูตร 2000 Formula ในแบบที่ Tim Ferris แนะนำได้ทันที เพราะหลายครั้งที่เรามักอยากทำธุรกิจที่เราปั้นมากับมือด้วยตัวเองในทุกรายละเอียด จนตัวเองหล่นลงไปอยู่ใน “กับดักของคนทำธุรกิจส่วนตัว” ที่ถึงแม้เราจะอยู่ในฐานะเจ้าของ แต่กลับพบว่าหากเราเจ็บป่วยหรือหยุดงานออกไปเที่ยว ธุรกิจก็หยุดชะงักลงและขาดรายได้ตามไปด้วย ไม่ต่างอะไรกับการเป็นพนักงานเงินเดือนเลย เผลอ ๆ จะแย่กว่าด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ แต่ตัวเองทำทุกอย่างคนเดียว ทั้งคุยกับลูกค้า, รับคำสั่งซื้อ, แพ็คสินค้า, ส่งสินค้า, เก็บเงิน ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้หากเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ทุกอย่างก็จะหยุดลง การจ้างพนักงานมาเพิ่มคือสิ่งหนึ่งที่จะชดเชยจุดนี้ได้ แต่ปัญหาคือคนทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนใหญ่มักไม่กล้าจ้าง เพราะมองว่าต้องแชร์ส่วนของกำไรเป็นก้อนใหญ่ราว 15,000 – 20,000 บาท “ต่อเดือน” แต่ถ้าเราพลิกมุมคิดและ “ซอยรายได้” ของเราเองออกมาเป็นรายชั่วโมง ความรู้สึกในเชิงธุรกิจจะลดลง และความรู้สึกในเชิงจิตวิทยาของมนุษย์จะมีมากขึ้น และทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองใหม่อีกครั้งว่า เงินซื้อเวลาไม่ได้ จริงหรือ?
ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีกำไรจากการทำธุรกิจนี้ทุกอย่างด้วยตัวเองที่ 500,000 บาทต่อปี เมื่อนำมาหารด้วย 2000 ตามสูตรนี้ แปลว่า “โดยเฉลี่ยแล้วเราขายอิสระและ “ขายเวลา” ของตัวเองมาทำงานในราคา 250 บาทต่อชั่วโมง” แต่หากเราทำการว่าจ้างพนักงานมาทำงานที่เราเคยทำทั้งหมดเฉลี่ยชั่วโมงละ 150 บาท จนเราสามารถออกไปใช้ชีวิตอิสระได้ นั่นแปลว่า “มีคนจ่ายเงิน “ซื้อเวลา” ให้เราใช้ชีวิตอิสระในราคา 100 บาทต่อชั่วโมง”
เงินซื้อเวลาไม่ได้ จริงหรือ?
แม้ประโยชน์ของสูตรนี้จะมีผลต่อวิสัยทัศน์ของคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจเป็นพิเศษ แต่ก็ใช่ว่า “มนุษย์เงินเดือน” จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสูตรนี้ได้ เราสามารถเปิดมุมมองของรายได้ และการฉุกคิดเวลาจะจ่ายเงินครั้งต่อไปได้เช่นกัน เพราะการหาค่าเฉลี่ยรายได้ต่อชั่วโมงมักจะทำให้เราพบว่า เวลาของเรานั้นความจริงมีมูลค่าที่น้อยเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับคำพูดที่ว่า “มีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อเวลาไม่ได้” แต่สูตร 2000 Formula กลับบอกเราว่า “ซื้อได้สิ…นี่ไง” เพราะแม้แต่คนที่มีเงินเดือน 100,000 บาท ก็มีรายได้ต่อชั่วโมงราว 600 บาท นี่ยังไม่นับค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำงาน ทั้งค่าเดินทางไปออฟฟิศ ค่าเสียเวลาเดินทาง ค่าเสื้อผ้าชุดทำงาน ค่าสังสรรค์กินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ อีกด้วย
ดังนั้นครั้งต่อไปที่ เรากำลังจะตัดสินใจซื้อสิ่งของมีค่าชิ้นใหญ่ราคาแพงใด ๆ ก็ตาม ลองหารด้วยรายได้ต่อชั่วโมงของตัวเองดูก็ได้ ว่าเราจะต้องทำงานนานเท่าไหร่ ถึงจะสามารถซื้อของชิ้นนั้นได้ อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือเครื่องละ 25,000 บาท ผู้ชายที่มีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท จะต้องทำงานเกือบ 280 ชั่วโมงเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้เลยทีเดียว
ไม่มีใครปฏิเสธว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่มีค่าและเราไม่สามารถเรียกมันย้อนกลับมาได้ ในอีกทางหนึ่ง “เงิน” ก็มีค่าและเป็นสิ่งที่เราต้องหามาเพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีวิตเช่นกัน คำถามที่เหลืออยู่ก็คือเรายอมที่จะสละเงินเพื่อแลกกับเวลาที่เพิ่มขึ้นมากน้อยขนาดไหน บางคนอาจไม่ยอมให้เงินตกหล่นแม้แต่บาทเดียว ต่อให้ต้องเสียเวลาชีวิตของตัวเองแค่ไหนก็ตาม ส่วนอีกคนอาจยอมแลกรายได้ของตัวเองแทบทั้งหมดเพื่อเวลาว่างและอิสระของตัวเองก็เป็นได้
ก็ต้องเลือกเอาล่ะครับ ว่าจะเอา “เงิน” หรือจะเอา “เวลาชีวิต” ของเราเป็นหลัก แต่ MenDetails เชื่อว่า การค้นจุดกึ่งกลางและความพอดีที่ลงตัวที่สุดที่คือสิ่งที่เราทุกคนควรค้นให้พบด้วยตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปนะครับ