ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีการคมนาคมพัฒนาขึ้น การเดินทางไปที่ต่าง ๆ ทำได้ง่ายดาย ทำให้มนุษย์ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับแต่ละประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะยุคหลังโควิดที่โลกหยุดชะงัก ผู้คนต่างอยากหาประสบการณ์ใหม่ ๆ สัมผัสสิ่งใหม่ ๆ ในโลกกว้าง ทำให้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีอีกหนึ่งปัญหาที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น และส่งผลกระทบอย่างมาก นั่นคือ Overtourism ครับ
ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ส่งผลทั้งต่อชุมชนท้องถิ่น ไปจนถึงตัวนักท่องเที่ยวเองด้วย ทำให้เริ่มมีหลาย ๆ เมืองในหลาย ๆ ประเทศ เริ่มคิดหาวิธีการแก้ไขอย่างจริงจัง และในบทความนี้ MenDetails จะมาพูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และในฐานะนักท่องเที่ยวตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเราทุกคน สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้างครับ
Overtourism เมื่อการท่องเที่ยวในที่เดียวกันมากเกินไป กลับเริ่มส่งผลเสียต่อท้องถิ่น
Overtourism เป็นคำเรียกปัญหาการท่องเที่ยว ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวในพื้นที่นั้น ๆ มีมากเกินไป จนส่งผลกระทบกับพื้นที่ท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ไปจนถึงส่งผลต่อตัวนักท่องเที่ยวที่ ที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการไปท่องเที่ยว ทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างตามมา ไม่ว่าจะเป็น คนในท้องถิ่นที่มองว่านักท่องเที่ยวมารบกวนการใช้ชีวิต มาทำลายพื้นที่ เกิดการไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ไปจนถึงนักท่องเที่ยวที่มองว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ก่อความรำคาญ
จริง ๆ ปัญหานี้ เริ่มมีการพูดถึงบ่อยขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2015 แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโควิดที่การท่องเที่ยวไม่สามารถทำได้ ปัญหานี้จึงหายไป จนกระทั่งหลังยุคโควิดที่ผู้คนกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้ง เพราะอัดอั้นในช่วงโควิดที่ไม่สามารถเดินทางได้ จึงทำให้ปัญหานี้เห็นชัดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่ของหลาย ๆ ประเทศ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหานักท่องเที่ยวที่มากเกินไปในแต่ละพื้นที่ ไม่ได้มีตัวเลขหรือการจำกัดตายตัวว่า ต้องมีนักท่องเที่ยวจำนวนเท่าไหร่ต่อปี หรือต้องมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่อจำนวนคนในพื้นที่เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ จึงจะเรียกว่าเป็นปัญหา Overtourism แต่ต้องวัดจากเรื่องอื่น ๆ แทน อย่างเรื่องคุณภาพชีวิตคนในท้องถิ่น ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว เป็นต้น
ซึ่งเราต้องไม่สับสนกับคำว่า Mass tourism ที่ผู้คนจำนวนมากเดินทางไปท่องเที่ยวในที่เดียวกัน ทำกิจกรรม กินอาหาร คล้าย ๆ กัน จริงอยู่ว่าการที่มีคนไปเที่ยวในที่เดียวกันมาก ๆ อาจนำไปสู่ปัญหานักท่องเที่ยวล้น แต่ในหลาย ๆ พื้นที่ ของหลาย ๆ ประเทศ ก็มีพื้นที่หรือโครงสร้างพื้นที่ฐานที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ๆ ได้ จึงไม่เกิดปัญหานักท่องเที่ยวล้นได้ง่าย แต่เราจะพบเห็นได้ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่มากกว่า เป็นพื้นที่ที่คงกลิ่นอายวัฒนธรรม หรือความเป็น Local เอาไว้ ที่จะเจอปัญหานี้ เพราะโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อมรองรับ บวกกับในปัจจุบันคนจะพยายามเที่ยวในเมืองเล็ก ๆ มากขึ้น เพราะต้องการสัมผัสวัฒนธรรมและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
หากใครนึกไม่ออกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีปัญหา Overtourism เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง ในส่วนนี้เราจะมายกตัวอย่างพื้นที่และประเทศที่ได้รับผลกระทบของปัญหานี้ครับ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
ตัวอย่างแรกคือ ญี่ปุ่นครับ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ญี่ปุ่น เป็นจุดหมายของคนทั่วโลกหลังจากจบยุคโควิด ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัยกันมากมาย ปัญหาก็คือ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปกระจุกตัวกันอยู่ที่ โตเกียวและเกียวโตครับ และด้วยความที่ญี่ปุ่น มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก ทำให้ในบางครั้งเกิดการบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคลเพื่อไปถ่ายรูป ไปจนถึงการทำลายสถานที่โดยรอบทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ อย่างในเกียวโตย่านเมืองเก่า ก็เคยมีการปรับนักท่องเที่ยวกันมาแล้ว ที่เข้าไปถ่ายรูปในที่ส่วนบุคคล หรือสถานที่ไม่ไกลจากโตเกียวอย่าง ภูเขาไฟฟูจิ ก็มีนักท่องเที่ยวและคณะทัวร์ไปเที่ยวกันมากมาย จนเกิดปัญหาการสัญจรของคนขึ้นลงเขาที่แออัด ปัญหาการรบกวนคนในพื้นที่ เป็นต้น
มาทางฝั่งยุโรปกันบ้าง เป็นเมือง Barcelona ที่กำลังเจอกับปัญหานี้อย่างหนักมาหลายปี เพราะเป็นเมืองที่สวยงาม เหมาะกับการมาพักผ่อน จนประชาชนในเมืองเกิดการประท้วงต่อต้านนักท่องเที่ยว เพราะปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยที่ถูกแบ่งไปสำหรับการท่องเที่ยว ไปจนถึงสถานที่พักผ่อนต่าง ๆ ที่ถูกทำลายจากนักท่องเที่ยว และยังมีเมือง Venice นครแห่งสายน้ำของอิตาลีที่เจอปัญหานักท่องเที่ยวล้นเช่นกัน และมันส่งผลต่อสภาพแวดล้อม การอยู่อาศัยของคนจนคนต้องย้ายออก ไปจนถึงคนที่ไปเที่ยวก็ต้องเจอกันผู้คนแออัดจนเที่ยวไม่สนุก
ประเทศไทยเอง ก็เคยได้รับผลกระทบจากปัญหานี้เช่นกันล่าสุดไม่นานมานี้ก็คือการปิดอ่าวมาหยา เพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัว จากการที่มันเป็นพื้นที่ที่สวยงามทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติไปเที่ยวกันเยอะ ทำลายระบบนิเวศน์ จึงเป็นที่มาของการสั่งปิดอ่าวอยู่หลายปีครับ
นี่ยังเป็นแค่ตัวอย่างทั่ว ๆ ไป เพราะในบางกรณีปัญหานักท่องเที่ยวล้นก็เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เมืองนั้น ๆ มีเทศกาลสำคัญ ทำให้ผู้คนไปแออัดที่นั่นจำนวนมาก เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ทั้งขยะ การลวนลามทางเพศ การสัญจรที่ไม่สะดวก และอาจถึงขั้นคนเป็นลมเหยียบกันตาย
วิธีการรับมือของภาครัฐ และวิธีช่วยแก้ปัญหาในฐานะคนตัวเล็ก ๆ
เมื่อปัญหานักท่องเที่ยวล้น ค่อย ๆ ส่งผลกระทบมากขึ้น หลาย ๆ ประเทศจึงเริ่มมีการคิดหาทางแก้ไขกันอย่างจริงจัง ซึ่งก็มีมาตรการรับมือต่างกันไปตามแต่สภาพพื้นที่จะอำนวย เช่น ในบางพื้นที่ บางเมือง มีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตได้ หน่วยงานรัฐก็จะสามารถที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาตรงส่วนนี้ได้ ปัจจุบันก็มีเมืองจำนวนไม่น้อยที่กำลังค่อย ๆ พัฒนาในส่วนนี้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากเมืองใหญ่ ๆ ใกล้เคียงที่มีปัญหานักท่องเที่ยวล้น ทำให้ต้องแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ
ในบางพื้นที่ ที่ไม่สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ๆ ได้ ทางภาครัฐอาจทำการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวันแทน เพื่อลดปัญหาความแออัด ไปจนถึงการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินต่อวัน เพื่อนำไปฟื้นฟูพื้นที่ หรือถ้าหนักเข้าก็อาจสั่งปิดไม่มีกำหนดไปเลย
มีการแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นที่เราชอบมากอยู่วิธีหนึ่ง เป็นวิธีของญี่ปุ่นที่กำลังใช้อยู่ในตอนนี้ คือการพานักท่องเที่ยวออกไปจากพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวล้นครับ เขาจะพยายามทำการโฆษณาภูมิภาค จังหวัดเมืองต่าง ๆ ที่น่าสนใจแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แตกต่างกันไปในนักท่องเที่ยวจากแต่ละกลุ่มประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเกิดความสนใจ และไปเที่ยวพื้นที่ที่ทางภาครัฐญี่ปุ่นกำหนดไว้แทน ช่วยดึงนักท่องเที่ยวออกมาจากพื้นที่ที่แออัดได้ และยังกระจายรายได้ให้กับพื้นที่ใหม่ ๆ ด้วย
แล้วสำหรับเราในฐานะนักท่องเที่ยวตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปมองเห็นโลกกว้าง เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?
จริงอยู่ว่าเราช่วยแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นไม่ได้ และหลาย ๆ ครั้งเราก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาดังกล่าว แต่สิ่งที่เราพอทำได้คือ การลองไปท่องเที่ยวในพื้นที่อื่น ๆ ที่คนยังไปไม่เยอะ ถือว่าเป็นการได้ไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ยังไม่ช้ำก่อนใคร หรืออาจจะลองไปเที่ยวในเมืองที่มีปัญหานักท่องเที่ยวล้นในช่วงฤดูกาลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ High Season เพราะการไปในช่วงเวลาที่ต่างกันไปก็ทำให้เราได้เห็นความสวยงามในด้านอื่น ๆ ที่คนอื่น ๆ ไม่เคยเห็น หรือถ้าเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานักท่องเที่ยวล้นจริง ๆ ก็พยายามไม่ไปรบกวนหรือสร้างปัญหาให้กับพื้นที่นั้น ๆ ครับ
การที่มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวในพื้นที่เดียวกัน เป็นการสร้างรายได้ให้กับท่องถิ่นและประเทศก็จริง แต่การที่ไม่มีการจัดการและรับมืออย่างเหมาะสมมันก็จะเกิดเป็นปัญหา Overtourism ขึ้น และปัญหานี้ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ เพราะประชากรโลกที่มีจำนวนมากขึ้น และการเดินทางที่ง่ายขึ้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ทั้งภาครัฐของแต่ละประเทศต้องหาทางรับมือ รวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องให้ความเคารพคนและสถานที่นั้น ๆ ด้วยเช่นกันครับ เพราะการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันจะทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์กันทั้งสิ้น