สุดยอด Innovation ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างหนึ่งจาก Nike นั้น ต้องยกให้ Air Sole ครับ เพราะนอกจากจะเป็นเทคโนโลยีไว้ Support แรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังเป็นเทคโนโลยีที่ทางแบรนด์ร่วมมือกับองค์กร NASA ออกแบบและสรรค์สร้างรองเท้า Air Sole คู่แรกของโลกเมื่อปี 1978 ขึ้น และให้หลังมาราว 40 กว่าปี Nike ก็ได้เปิดตัวรองเท้า Air Vapormax “รองเท้า Air Sole เต็มผืนแท้ๆ คู่แรกของโลก” จนมาถึง Version ที่ 3 แล้ว เรามาดูกันสักนิดครับว่า Version 2 กับ 3 นั้นต่างกันยังไง น่าซื้อมากน้อยแค่ไหนกันแน่ หรือจะลองอ่าน รีวิว Air Vapormax Version 1 ก่อนได้ที่นี่เลย
มาพร้อมสุดยอดเทคโนโลยี Air Sole เต็มผืน ทั้งคู่
เพราะเป็นรุ่นที่ใส่เทคโนโลยีมาเยอะที่สุดกับ Air Sole เต็มผืน มาพร้อมองค์ประกอบจำนวน 39,000 ชิ้นที่คุณอาจมองไม่เห็น เพราะเห็นเพียงพื้น Air Sole เต็มผืน 1 ชิ้นเท่านั้น แต่เชื่อเราเถอะครับว่า รองเท้า Air Vapormax นั้น มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เยอะจนคุณคาดไม่ถึงแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น พื้น Air Sole จะถูกแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อกระจายน้ำหนักและอัดแรงดันอากาศมาไม่เท่ากันในแต่ละชิ้นอีกด้วย นี่แหละครับ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง
แต่สิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนเลยคือ รองเท้าคู่นี้ “ไม่นิ่ม” อย่างที่คิด เพราะหัวใจหลักของการออกแบบนั้น ทำมาเพื่อรับแรงกระแทก ดังนั้นหากไม่มีแรงกระแทก คุณก็จะไม่รู้สึกว่านิ่มนั่นเอง ในทางกลับกัน รองเท้าคู่นี้จะให้ Feeling แบบเด้งๆ เป็นหลัก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณหวังว่าจะได้รับความนิ่มแบบแบรนด์อื่นในท้องตลาด อาจต้องคิดใหม่สักนิดครับ
ดังนั้น ทั้ง 2 คู่ ไม่ว่าจะเป็น Version 2 หรือ 3 ก็ดี ต่างก็มีเทคโนโลยีที่ดีเยี่ยมที่สุดจาก Nike อยู่บนฝ่าเท้านั่นเอง จุดเดียวที่แตกต่างกันก็คือ “บริเวณส้นเท้า” โดยที่ Version 3 จะมีส่วนที่ปรับให้ขอบสูงขึ้น Lock ส้นเท้ามากขึ้น (คล้ายกับ Nike Epic React Flyknit 2 นั่นเอง) ส่วน Version 2 นั้นจะเป็นพื้นแบบปกติ
Upper ผ้า Flyknit ที่เปลี่ยน Pattern
-Pattern ของ Version 3 นั้นชวนให้นึกถึง Nike Air Presto Flyknit เป็นอย่างยิ่ง-
จะบอกว่า Flynit แบบ Version 2 ไม่ดีก็คงไม่ใช่ เพราะส่วนตัวก็รู้สึกว่า Flyknit ดังกล่าวนั้น ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ “ทำไมต้องปรับ Pattern ใน Version 3” ในเมื่อตัวก่อนหน้าก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่หลังจากที่ได้ลอง ก็ต้องบอกว่า Version 3 นั้น ทำออกมาได้ดีขึ้นมากกว่า Version 2 เสียด้วยซ้ำ ด้วยตัวผ้าที่ยืด ณ จุดที่ควรยืด และกระชับในจุดที่เหมาะสม เช่นช่วง Forefoot ที่ใส่ผ้ายืดเข้ามาเพิ่ม ทำให้ง่ายต่อการขยับขึ้นอีกนิด
จริงๆ แล้ว ความต่างน่าจะอยู่ตรงที่ Air Vapormax 2 นั้น ยังคงอยู่ในหมวด Running ของแบรนด์ แต่ใน Version 3 นั้น ทางแบรนด์ตัดสินใจขยับเอาโมเดลดังกล่าวเข้าสู่หมวด Lifestyle ในที่สุด จึงปรับให้สามารถยืดหยุ่นได้มากขึ้น เพื่อใส่ได้แบบ Lifestyle ได้บ่อยขึ้นนั่นเอง
แล้วคู่ไหนใส่แล้วดูดีกว่ากัน?
นี่น่าจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดของการเลือกซื้อรองเท้าถูกมั้ยครับ งั้นเราขอตอบแบบให้เห็นภาพชัดๆ เลยว่า ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบ Pattern ของ Flyknit ใน Air Vapormax 3 สักเท่าไร เราจึงกลับชอบภาพรวมของ Version 2 เสียมากกว่า เนื่องจากลวดลายนั้นถูกออกแบบมาคล้ายกับรองเท้าวิ่งสมัยก่อน กล่าวคือมี Guard บริเวณปลายเท้า / รูระบายอากาศช่วง Toe Box และลวดลายที่ถักแบบปกติ ไม่ได้สร้าง Texture ที่เยอะจนเกินไปอย่างที่เห็นกันใน Version 3 นั่นเอง
-อีกจุดที่เราแอบไม่ค่อยชอบเท่าใดนักก็คือ พื้น Air Sole ที่ใส่ Glitter เข้ามา ไม่ใช่สไตล์ MenDetails แต่อย่างใด-
และอย่างที่เรียนแจ้งว่า ถ้าคุณเลือกรูปลักษณ์เป็นหลัก ตัว Version 2 น่าจะตอบโจทย์มากแน่นอน แต่ถ้าอยากใส่แบบชิลๆ ต้องการความสบายจากตัว Upper ที่ให้ความยืดหยุ่นได้ดีสักหน่อย Version 3 ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
นี่คือสิ่งที่เราชาว MenDetails เห็นครับ ระหว่าง Air Vapormax Version 2 และ 3 ซึ่งถ้าคุณกำลังตามหาคู่สีดีๆ แล้ว Version 2 น่าจะไม่มีเหลือให้เลือกมากนัก ดังนั้นสีเจ๋งๆ ที่ทาง Nike คาดว่าน่าจะขายได้แน่ๆ น่าจะถูกดึงมาใส่ใน Version 3 แน่นอน (อย่างเช่น Triple Black ในรูป) แนะนำว่าคุณรีบซื้อด่วนๆ ถ้ามีสีที่คุณชอบ วางขาย หรือจะไปลองสินค้าด้วยตัวเองเลยก็ได้นะครับที่ร้าน SEEK Thailand ได้เลย