เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2566 เหล่าค่ายรถยนต์ในประเทศไทยต่างก็เปิดวิสัยทัศน์และแผนธุรกิจประจำปีของตัวเองออกมา และ Mercedes-Benz ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยในปีนี้ค่ายตราดาวสามแฉกมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเปลี่ยนแปลงประธานบริหารคนใหม่ จากคุณ Roland Folger เป็นคุณ Martin Schwenk ที่มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ใหม่ในชื่อ Ambition to Lead ที่แสดงความต้องการในการเป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ ของตลาดรถยนต์ไทย และการตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ผ่าน 4 หัวข้อหลัก คือ Sustainability, Electrification, Technology and Innovation และ Luxury Experience
และเช่นเคยที่ MenDetails ที่ชื่นชอบรถยนต์แบรนด์นี้มาก ๆ อยู่แล้ว จะขอสรุปสิ่งที่น่าสนใจที่เราจะได้เห็นในปีนี้จากค่ายตราดาวสามแฉกให้ทุกท่านอ่านกันครับ
Sustainability สร้างความยั่งยืนด้วยเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน
เป้าหมายแรกของ Mercedes-Benz ประเทศไทย รวมถึงทั่วโลก คือการสร้างความยั่งยืนที่แบรนด์ประกาศตัวจะพัฒนาตัวเองให้เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2039 มาก่อนหน้านี้แล้ว และมันก็ไปสอดคล้องนโยบายด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่ตั้งเป้าจะเป็นประเทศที่เป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2050 ทำให้มีการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มีสัดส่วนมากยิ่งขึ้น ด้วยนโยบาย [email protected] ที่ตั้งเป้าในปี 2030 การผลิตรถยนต์ในประเทศจะต้องเป็นรถไฟฟ้าอย่างน้อย 30% ซึ่งทาง Mercedes-Benz ประเทศไทยเองก็พร้อมจะสนับสนุนเป้าหมายนี้ของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ เพราะทางแบรนด์ก็ตั้งเป้าหมายว่าในปีเดียวกันนี้รถทุกคันที่นำเข้ามาขายในตลาดประเทศไทยจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ทั้งหมด
นี่เป็นเป้าหมายแรกที่ทางแบรนด์อยากแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสร้างความยั่งยืน และไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นในระดับโลก
Electrification รถยนต์ไฟฟ้าที่มีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อทำให้ตัวเองเป็นแบรนด์ที่เป็นกลางทางคาร์บอนและสร้างความยั่งยืนได้นั้น รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
ซึ่งย้อนไปก่อนหน้านี้ทางแบรนด์ก็เคยเปิดตัว VISION EQXX รถ Concept Car พลังงานไฟฟ้า 100% ที่แสดงให้เห็นว่ารถสามารถวิ่งได้ระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มเพียงหนึ่งครั้ง ในสภาพแวดล้อมถนนจริง ทำให้เห็นว่าในอนาคตแบรนด์สามารถพัฒนารถให้ไปถึงในจุดนั้นได้ แต่ในรถที่ทางแบรนด์มีวางจำหน่ายในปัจจุบันก็นำองค์ความรู้นั้นมานำเสนอให้กับผู้บริโภค อย่างในประเทศไทยก็มี EQS 500 4MATIC AMG Premium รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่สามารถวิ่งได้ถึง 702 กิโลเมตร ต่อจากชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมี C 350e AMG Dynamic รถ PHEV ที่สามารถวิ่งได้มากกว่า 100 กิโลเมตร ในโหมดการขับขี่ EV ทำให้นี่เป็นรถ PHEV ในระดับ Luxury ที่วิ่งในโหมด EV ได้ไกลที่สุดในประเทศไทย
และสำหรับในปี 2023 นี้ ทางแบรนด์ยังมีแผนจะป้อนรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เพื่อมาตอบวิสัยทันศ์นี้ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอีก 3 รุ่น เริ่มจาก EQB 250 AMG Line ที่ได้รับความนิยมในระดับโลก ส่วนอีกสองรุ่นทางแบรนด์จะทำการเปิดตัวในอนาคต และทางแบรนด์ยังต้องการขยายจุดชาร์จไฟฟ้าของรถร่วมกับผู้ให้บริการเจ้าต่าง ๆ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต แต่ทางแบรนด์ก็ไม่ได้มีแค่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว เพราะยังมีรถยนต์รุ่นอื่น ๆ อีก 5 รุ่นเพื่อมาตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ทำให้คาดว่าปีนี้ทางแบรนด์คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างมาก
Technology and Innovation เป็นผู้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสู่ตลาดรถยนต์ไทย
สิ่งหนึ่งที่ทางแบรนด์พยายามนำเสนอให้กับผู้บริโภคตลอดเวลาที่ผ่านมา คือ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาสู่อุตสาหกรรมและตลาดรถยนต์ในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์การใช้งานรวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เพื่อมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้งานในทุกมิติ ที่ทางผู้บริโภคคาดหวังให้รถระดับ Luxury จะมีให้ ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลแบบ Hyperscreen ระบบ MBUX เจนเนอเรชั่นใหม่, ไฟ Digital Light ที่ระยะไกลมากกว่า 600 เมตร และ Driving Assistance package ที่ช่วยในการขับขี่และเรื่องความปลอดภัยที่ครบครัน
Luxury Experience ประสบการณ์ประทับใจกับบริการหลังการขาย
นอกจากสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในรถยนต์แล้ว ทางแบรนด์ยังตั้งใจมอบประสบการณ์แบบ Luxury ให้กับลูกค้าทุกคน ด้วยบริการหลังการขายต่าง ๆ อย่าง ผลิตภัณฑ์ดิจิตัลใน Mercedes Me Store ที่จะมีเพิ่มเข้ามามากขึ้น เช่น Rear Axle Steering ที่ลดวงเลี้ยวของรถที่มีออฟชั่นเลี้ยวล้อหลัง เพื่อให้ควบคุมง่ายขึ้น ระบบ Active Distance Assistance Distronic ที่ควบคุมระยะห่างของรถขณะที่ขับขี่ ไปจนถึงเรื่องของ Individualization ที่ลูกค้าสามารถเลือกปรับบรรยากาศภายในรถทั้งเสียงและภาพที่แสดงบนหน้าจอได้ทั้งหมด ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพิ่มเติมจากในอดีตที่ผ่านมา
และในปีนี้จะมีการนำ Data ของลูกค้ามาวิเคราะห์ เพื่อให้ทางแบรนด์นำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการให้กับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ เช่น มีการแจ้ง Service Package ให้กับลูกค้าที่รถกำลังจะหมดประกัน หรือการดูข้อมูลเพื่อแจ้งลูกค้าว่าถึงเวลาเข้าศูนย์บริการเพื่อเช็กสภาพของรถ ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการเข้ารับบริการในศูนย์บริการ ที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินทางช่องทางออนไลน์ ที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องมารับรถที่ศูนย์ในเวลาทำการอีกต่อไป ลูกค้าสามารถชำระค่าบริการทางออนไลน์แล้วเข้ามารับรถได้ตามเวลาที่สะดวก โดยจะมีกล่องรหัสให้ลูกค้ามากรอกรหัสเพื่อเอากุญแจขับรถกลับบ้านได้เลย และในอนาคตเราจะได้เห็นการนำเทคโนโลยีดิจิตัลเข้ามามีบทบาทในการบริการลูกค้ามากขึ้น ควบคู่ไปกับการนำเสนอแคมเปญต่าง ๆ ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทำให้เกิด Community ของกลุ่มลูกค้าผู้ใช้รถของแบรนด์ ซึ่งจากที่ดูแล้วการบริการหลังการขายของลูกค้าน่าจะเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นอีกในปีนี้และปีต่อ ๆ ไปอย่างแน่นอนครับ
นี่ยังไม่นับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ที่มาดูรถยนต์ในงานแสดงยานยนต์ต่าง ๆ ที่ทางแบรนด์มีรถไปจัดแสดง เพราะคนที่มาเยี่ยมชมเหล่านั้นล้วนมีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต การสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทางแบรนด์ไม่ละเลยเช่นกัน อย่างที่เราเห็นงาน Motor Expo ครั้งที่ 39 ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา (2022) และในงาน Motor Show ครั้งที่ 44 นี้ก็เช่นกันครับ ที่ทางแบรนด์นำผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลอย่างละเอียด พร้อมตอบทุกข้อสงสัย และการต้อนรับอื่น ๆ ในงานที่ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมประทับใจ
นี่เป็นเพียงแค่ทิศทางคร่าว ๆ ที่ Mercedes-Benz กำลังจะก้าวไปหลังจากนี้เท่านั้น ซึ่งตลอดทั้งปีนี้ก็น่าติดตามว่าแบรนด์จะมีอะไรใหม่ ๆ ให้กับตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอีกบ้าง หากมีอะไรน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นใหม่ หรือแคมเปญที่น่าสนใจ ทาง MenDetails ก็จะนำมาบอกเล่าให้ทุกท่านทราบอย่างแน่นอนครับ