เกิดเป็นมนุษย์มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าเราตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบในชีวิต นั่นก็ย่อมมาพร้อมกับภารกิจที่หนักหนาพอสมควร ไหนจะต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วก็ต้องเสาะหาสัมมาชีพเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว บางคนมีเป้าหมายแค่เพียง “เก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ” แต่ MenDetails มองว่าการวางเป้าหมายเช่นนั้นอาจจะดู “เคว้งคว้าง” เกินไป เพราะไม่มีเกณฑ์วัดผล หรือตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจน ในครั้งนี้เราจึงขอแนะนำ “Wealth Formula” หรือสูตรสำเร็จที่เราสามารถนำมา คำนวณหาความมั่งคั่ง ได้ว่า ที่อายุของเราในปัจจุบันนี้ เราควรจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ความมั่งคั่งสุทธิ” รวมเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่กันแน่?
สูตร คำนวณหาความมั่งคั่ง ที่เราควรมีในแต่ละช่วงอายุ
หนังสือชื่อ The Millionaire Next Door ที่เขียนโดย Thomas J. Stanley และ William D. Danko ได้ระบุถึงสูตรหาความมั่งคั่ง หรือ Wealth Formula โดยมีวิธีคิดคำนวณดังต่อไปนี้
Wealth Formula สูตร คำนวณหาความมั่งคั่ง ที่เราควรมี
(อายุปัจจุบัน x รายได้รวมต่อปี) / 10
ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีอายุ 30 ปี และมีรายได้รวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 360,000 บาท นั่นแปลว่าความมั่งคั่งสุทธิ หรือ Wealth ที่เราควรจะมีอยู่ที่ 1,080,000 บาท ซึ่งมาจาก (30 x 360,000) / 10 = 1,080,000 นั่นเอง
ความมั่งคั่ง หรือ Wealth ในที่นี้ นับอะไรบ้าง ?
ความมั่งคั่งในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงจำนวนเงินเก็บในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียวนะครับ เพราะความมั่งคั่ง หรือ Wealth นั้นคือจำนวนทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี หักลบด้วยหนี้สินทั้งหมดที่เรามี ในที่นี้แล้วบางคนอาจไม่มีเงินเก็บจำนวนมากในบัญชี เพราะว่านำเงินไปวางดาวน์ซื้อบ้าน และนำรายได้แต่ละเดือนไปผ่อนค่าเงินงวดซื้อบ้านเป็นประจำ ก็ถือว่ามี Wealth หรือ ความมั่งคั่งได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น หากเราตัดสินใจซื้อบ้านราคา 1,000,000 บาท โดยวางดาวน์ไปแล้ว 200,000 บาท รวมทั้งจ่ายเงินงวดผ่อนบ้านจนเหลือยอดหนี้ที่เป็นเงินต้นแค่ 500,000 บาท และราคาบ้านในปัจจุบันสูงขึ้นมาเป็น 1,100,000 บาท นั่นแปลว่า ความมั่งคั่ง หรือ Wealth ที่เรามีในบ้านหลังนี้จะอยู่ที่ 600,000 บาท นั่นเอง (ทรัพย์สินราคา 1,100,000 บาท ลบด้วยหนี้สิน 500,000 บาท เท่ากับความมั่งคั่ง 600,000 บาท)
Wealth หรือความมั่งคั่งแบบอื่น ๆ เช่น เงินลงทุนในกองทุนรวม, เงินในกองทุนประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น หุ้น, ทองคำ ฯลฯ เมื่อนำมารวมกันทั้งหมดแล้วหักด้วยหนี้สินที่เรามี ก็จะถือเป็นความมั่งคั่งของเราได้เช่นกัน ทั้งนี้ MenDetails ขอแนะนำว่าไม่ควรนับเอาทรัพย์สินที่มีแต่จะเสื่อมค่าเสื่อมราคาลง เช่น รถยนต์, เสื้อผ้า, รองเท้า ฯลฯ มารวมคำนวณ แม้บางคนอาจให้เหตุผลว่าของใช้บางอย่างจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น นาฬิกาหายาก หรือ กระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดัง แต่เราก็แนะนำให้ถือซะว่าเรื่องนั้นเป็น “โบนัสพิเศษ” จะดีกว่านะครับ
ควรใช้กับคนที่อยู่ในช่วงวัยทำงานระดับกลางขึ้นไป
ข้อจำกัดของสูตรคำนวณดังกล่าวก็คือ เราไม่สามารถใช้สูตรนี้ทันทีตั้งแต่แรกเริ่มทำงานใหม่ ๆ โดยเฉพาะผู้ชายไทยที่ส่วนใหญ่จะยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองจนกว่าจะเรียนจบหรือมีอายุประมาณ 22 ปี ซึ่งหากใช้สูตรนี้ทันที ที่ระดับเงินเดือน 15,000 บาท นั่นแปลว่าเราควรจะมี Wealth มูลค่า 396,000 บาทตั้งแต่ปีแรก ซึ่งคงไม่เข้ากับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก
ดังนั้นคำแนะนำของเราคือ ควรจะใช้สูตร คำนวณหาความมั่งคั่ง นี้เมื่อเราก้าวข้ามตัวเลขอายุประมาณ 30-40 ปี เป็นต้นไป เพราะเราจะมีเวลามากพอในการทำงานเก็บเงินและลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่งมาบ้างแล้วในระดับหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่มีอายุ 30 ปี มีเงินเดือนประมาณ 30,000 บาทหรือเท่ากับ 360,000 บาทต่อปี ก็ควรจะมี Wealth ประมาณ 1,080,000 บาท ซึ่งระยะเวลาเกือบสิบปีที่ทำงานมาตั้งแต่อายุ 22 ปีนั้น ถือเป็นช่วงเวลายาวนานพอให้ “ตั้งหลัก” และสะสมความมั่งคั่งให้ครบ 1,080,000 บาท โดยไม่ควรมีข้ออ้างได้แล้ว ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายที่มุ่งเน้นที่จะไปสู่อิสรภาพทางการเงินด้วยแล้วล่ะก็ พวกเขาอาจจะวางแผนเก็บเงินให้ได้เยอะกว่าเกณฑ์ของ Wealth Formula นี้ด้วยซ้ำไป
ประโยชน์ของ Wealth Formula
หนังสือ The Millionaire Next Door ได้ระบุว่า ใครก็ตามที่มูลค่าความมั่งคั่ง “เท่ากับ” ตัวเลขที่คำนวณได้ จัดว่าเป็นกลุ่มค่าเฉลี่ยที่เหมาะสม Average Accumulator of Wealth หรือ “AAWs” ส่วนใครที่มีน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของที่คำนวณได้ จัดได้ว่าเป็นกลุ่ม Under-Accumulator of Wealth หรือ “UAWs” ที่มีทรัพย์สินสุทธิต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งถือเป็นปัญหาและควรได้รับการแก้ไขก่อนที่เขาจะประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิตเมื่อไม่มีรายได้จากการทำงาน ส่วนใครก็ตามที่มีมูลค่าความมั่งคั่งเป็น 2 เท่าของที่คำนวณได้ จัดได้ว่าเป็นกลุ่ม Prodigious Accumulator of Wealth หรือ PAWs ที่มีโอกาสสูงมากที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ๆ ในยามที่หยุดทำงานหาเงิน
จากเกณฑ์ข้างต้น เราลองยกตัวอย่างว่า หากเราตั้งใจเกษียณอายุการทำงานที่อายุ 60 ปี โดยคาดว่าจะมีเงินรายได้ในปีก่อนเกษียณประมาณ 1,200,000 บาท “ต่อปี” เช่นนั้นแล้วเราก็ควรจะมีความมั่งคั่งเท่ากับ 7,200,000 บาท ตามสูตร Wealth Formula โดยมาจาก (60 x 1,200,000) / 10 = 7,200,000 บาท ซึ่งหากเรามีความมั่งคั่งถึงเกณฑ์ดังกล่าว แล้วใช้ กฎ 4% ในการถอนเงินมาใช้จ่ายหลังเกษียณ เราจะพบว่าเราจะมีเงินใช้ประมาณ 288,000 บาทต่อปี หรือ 24,000 บาทต่อเดือน แม้เป็นตัวเลขที่ “พอสมควร” แต่ก็ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับระดับรายได้ที่เราเคยได้รับก่อนเกษียณ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่เรามีความมั่งคั่งต่ำกว่านี้ หรือเป็นกลุ่ม UAWs นั่นแปลว่าเราก็จะยิ่งมีเงินใช้น้อยกว่านี้ลงไปอีก
กลับกันหากเราเป็นกลุ่ม PAWs โดยมีความมั่งคั่งรวมเป็น “2 เท่า” ของตัวเลขที่คำนวณได้ หรือเท่ากับ 7,200,000 x 2 = 14,400,000 บาท เช่นนั้นเราก็จะมีเงินใช้หลังเกษียณได้ประมาณ 576,000 บาทต่อปี หรือ 48,000 บาทต่อเดือน ตามกฎ 4% Rule เช่นกัน ซึ่งในความเห็นของ MenDetails นั้น ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ปลอดภัยกว่าและน่าจะทำให้เราใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบายใจมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว
กฎ 4% ของ Bill Bengen สามารถเอามาปรับใช้ได้กับ Wealth Formula เช่นกัน
เพราะฉะนั้น Wealth Formula จึงถือเป็น “หมุดหมาย” ที่คำนวณง่าย และทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่าเราควรจัดการกับทรัพย์สินของเราอย่างไร และควรจะมี “เท่าไหร่” ในแต่ละช่วงอายุของเราจริง ๆ เป็นตัวช่วยตรวจสอบว่า “เราอยู่ในเส้นทางการเงินที่ถูกต้องหรือไม่?” เพื่อชีวิตยามที่หยุดทำงานที่ไม่ลำบากและไม่เป็นภาระให้กับคนอื่นและสังคม ใครที่มีรายได้มากก็ควรเอาใจใส่ว่าตัวเองจะต้องเก็บเงินให้เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนใครที่มีรายได้น้อยก็ต้องหาทางประหยัดหรือหารายได้เพิ่ม เพื่อสะสมความมั่งคั่งให้อยู่ในเกณฑ์หรือเป้าหมายดังกล่าว ยิ่งถ้าไปให้ถึงระดับ PAWs ได้ ยิ่งเป็นการดีเยี่ยมเลยนะครับ
หากการบอกกับตัวเองว่า “เราจะเก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ” ดูเป็นนามธรรมที่มีคำถามตามมาเยอะเกินไป เช่น จะต้องเก็บเท่าไหร่? และต้องเก็บให้ได้เยอะแค่ไหนถึงจะพอ? MenDetails เชื่อว่า Wealth Formula จะเป็นสูตรคำนวณที่ชี้ทางสว่างเบื้องต้นให้เราได้ครับ