หลังๆ มานี้ กิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากสังคมคนเมืองในกรุงเทพฯ คือ กิจกรรมการวิ่งนี่แหละ หลายๆ คนเริ่มหันมาออกกำลังกายกันด้วยวิธีนี้มากมาย หลากหลายช่วงอายุ และวิ่งกันทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ถ้าคุณไม่เชื่อ เราขอลองท้าให้คุณไปลองสังเกตในช่วงเย็นของวันธรรมดา (รวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์) ที่สวนลุมพินีดูครับ บางจังหวะเหมือนจะวิ่งชนกันแบบไหล่ชนไหล่กันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่เราเชื่อมั่นว่า หลากหลายคนยังขาดความรู้กันอยู่ก็คือ “วิธีการเลือกรองเท้าวิ่ง” ที่เหมาะสมกับตัวเอง วันนี้เราจะมาลองไขปริศนาตัวนี้กันดู เผื่อจะเป็นตัวช่วยให้ทุกท่านสามารถเลือกรองเท้าวิ่งให้เหมาะสมได้ในอนาคตอันใกล้
อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงเลยก็คือ “น้ำหนักตัว”
อาจเป็นเรื่องไม่สำคัญสำหรับนักวิ่งที่วิ่งมาตลอดเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สำหรับคุณที่พึ่งเริ่มต้น เราขอแนะนำให้ท่านพิจารณา “รูปร่างและน้ำหนักตัว” ของท่านไว้ให้ดีเสียก่อน เพราะมันมีผลอย่างมากต่อการเลือกรองเท้าวิ่งสักคู่ โดยเฉพาะคนที่มีรูปร่างใหญ่และน้ำหนักมาก สิ่งที่คุณต้องเลือกอันดับแรกเลยคือ “รองเท้าที่มี Support ที่มากกว่ารองเท้าปกติทั่วๆ ไป” เพราะคุณมีอัตราความเสี่ยงที่ข้อต่อจะได้รับแรงกระแทกสะท้อนกลับจากการลงน้ำหนักทุกครั้งที่เท้าสัมผัสพื้น
แต่จนแล้วจนรอก “น้ำหนักตัว” ก็ไม่ใช่ปัจจัยอย่างเดียวในการเลือกซื้อรองเท้าอยู่ดี เพราะต่อให้คุณน้ำหนักตัวเยอะ แต่ถ้าคุณรู้จักท่าทางการวิ่งที่ถูกต้อง เรื่อง Support ของตัวรองเท้าก็สามารถตัดทอนไปได้อยู่ดี ซึ่งนั่นนำไปสู่ข้อสำคัญในการเลือกข้อต่อไป
ข้อสำคัญต่อมาคือ “ท่าทางและลักษณะการวิ่ง”
อันนี้ค่อนข้างสำคัญครับ เพราะ “ท่าทางและลักษณะการวิ่ง” นั้นมีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคล นั่นหมายความว่า การที่ Mo Farah ใส่รองเท้าคู่นี้แล้ววิ่งได้เร็ว วิ่งได้ดีนั้น อาจไม่ส่งใดๆ เลยกับตัวคุณก็ได้ เนื่องจากท่าทางการวิ่งของคุณนั้นไม่ได้เข้ากับรองเท้าหรือท่าทางของ Mo Farah อยู่ดี งั้นทำยังไงคุณถึงจะรู้ว่า “ลักษณะการวิ่งของเราเป็นแบบไหน” คำตอบนั้นอยู่ในห้อง Lab ครับ หรือคุณอาจเดินไปยังร้านขายรองเท้าที่มีหน่วยทดสอบฉบับย่อ ให้ช่วยวิเคราะห์แล้วแนะนำรองเท้าที่เหมาะสมกับลักษณะการวิ่งนั้นๆ ได้
อย่างที่เราบอกครับว่า คนแต่ละคนมีท่าทางการวิ่งที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างงั้นก็ตาม “เราแนะนำให้คุณเริ่มต้นเรียนรู้แล้วจัดระเบียบร่างกายในการวิ่งให้ถูกต้อง” จะเป็นการดีที่สุดนะครับ วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้เรื่องนี้ได้ก็คือ การออกไปวิ่งให้บ่อยและเยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจะช่วยให้คุณทราบลักษณะการวิ่ง ท่าทางการวิ่งและเริ่มปรับเปลี่ยนเพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บนั่นเอง
อีกข้อที่หลายคนลืมคือ “สังเกตการบิดตัวของผ่าเท้า”
ศัพท์อย่างเป็นทางการเราเรียกว่า “Pronation” หรือลักษณะการบิดตัวของผ่าเท้า โดยปกติแล้วนั้น เวลาเราออกวิ่งและวางเท้าลงสัมผัสกับพื้น เราจะลงน้ำหนักไล่ไปตั้งแต่ส้นเท้าไปข้างเท้าด้านนอก และจบลงที่ปลายเท้าเสมอๆ แต่การที่เราจะออกก้าวเท้าวิ่งไปข้างหน้าต่อนั้น จำเป็นต้องมีการบิดผ่าเท้าให้น้ำหนักมารวมตัวกันบริเวณกระดูกหัวแม่เท้า ลักษณะนี้เรียกว่า “Pronate” ซึ่งปัญหาที่พบส่วนใหญ่นั้นคือการ Over-Pronate หรือมีการบิดที่มากเกินพอดีจนส่งผลทำให้น้ำหนักที่กระจายขึ้นมาถึงหัวเข่านั้นมากเกินและบาดเจ็บได้ในที่สุด
ดังนั้นถ้าคุณพอรู้ตัวสักเล็กน้อยว่าคุณเป็นคนบิดผ่าเท้ามาก จนหัวเข่านั้นบิดเข้าหาตัวมากจนเกินไป คุณจำเป็นต้องหาซื้อรองเท้าที่ช่วยเรื่องนี้ในทันที เพราะมันจะส่งผลต่อสุขภาพเข่าของคุณในอนาคตอย่างแน่นอน
ถ้าอ่านมา 3 ข้อรู้สึกยากไป ตัดจบที่ข้อนี้ครับ “ความสบาย”
เพราะทุกข้อที่กล่าวมา (ยกเว้นข้อแรก) ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำให้คุณออกห่างจากการวิ่งไปอีก 2-3 Steps ดังนั้นเราจึงขอนำเสนอข้อที่สร้างความเจ็บปวดให้กับนักทฤษฎีทั้งหลายนั่นก็คือ “ความสบาย” จากผลการวิจัยของ Professor Benno Nigg หัวหน้าทีม Human Performance Lab ณ University of Calgary พบว่า “การเลือกรองเท้าที่ดีนั้นเกิดขึ้นตอนที่ผู้ซื้อสวมใส่แล้วรู้สึกสบายมากที่สุด เพราะมันช่วยลดอัตราการบาดเจ็บได้ดีเยี่ยม” กล่าวคือ ผู้ใส่เท่านั้นครับที่จะบอกตัวเองได้ว่า “รองเท้าคู่นี้น่าใส่วิ่งหรือไม่” จึงไม่แปลกที่คุณจะเห็นใครบางคนใส่รองเท้า Crocs ออกวิ่งในงานวิ่ง Half Maraton แถมทำเวลาดีอย่างไม่น่าเชื่อด้วย Pace 3:23 นาที / กิโลเมตร เขาคนนั้นก็คือ Benjamin Pachev หนุ่มอเมริกันวัยเพียง 18 ปี (บ้าไปแล้ว)
สิ่งสุดท้ายที่ MDs อยากบอกให้ผู้อ่านได้ทราบก็คือ “รองเท้าทุกคู่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทุกคนและทุกกิจกรรม” นะครับ แนะนำให้ไปลองและเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับกิจกรรมนั้นๆ จะดีกว่าการเลือกใส่รองเท้าเพียงคู่เดียวทำทุกกิจกรรมนั่นเอง และเราหวังอย่างยิ่งว่า คุณจะสนุกกับการวิ่งด้วยรองเท้าดีๆ สักคู่ที่คุณเลือกด้วยกฏเกณฑ์บางข้อข้างต้นที่เรากล่าวไปนะครับ