นาทีนี้คิดว่าคงไม่มีใครไม่คุ้นชื่อแบรนด์รถยนต์ Tesla แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาที่กำลังได้รับความนิยมสุด ๆ ด้วยดีไซน์ที่เท่แบบเรียบง่าย ราคาที่ไม่แพงเกินไป ฟังก์ชันเยอะ และยังสามารถวิ่งได้ไกลต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันสุด ๆ ทำให้ Tesla กลายเป็นที่จับตามองในตลาดโลกรถยนต์ในหลายปีที่ผ่านมา และสำหรับประเทศไทยที่ Tesla ได้เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการมาสักระยะหนึ่งแล้ว ต้องบอกว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างยิ่ง แต่ใครที่ยังไม่แน่ใจว่ารถยนต์รุ่นที่นำมาจำหน่ายในไทยจะเป็นอย่างไร นั่งสบายไหม สมรรถนะรถดีไหม มีฟังก์ชันอะไรบ้าง MenDetails มีโอกาสได้สัมผัส Tesla Model Y Performance มาด้วยตัวเองแล้ว และบอกได้เลยว่า “ไม่ธรรมดา”
ส่วนจะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เราได้สรุปมาเป็นข้อ ๆ ให้ เพื่อประกอบการพิจารณาให้กับท่านผู้อ่านทุกท่านในบทความนี้แล้วครับ
Tesla Model Y Performance รุ่นตัวท็อปจัดเต็ม ขับสนุก นั่งสบาย
ถ้านับในรุ่น Model Y แล้ว Tesla Model Y Performance จัดเป็นรุ่นตัวท็อปสุด เป็นรถ SUV ที่ดีไซน์ที่เรียบง่าย ซึ่งทั้ง Model 3 และ Model Y ก็ได้รับการออกแบบโดยมีคอนเซ็ปต์เดียวกันทั้งภายในและภายนอก แต่ตัว Model Y จะเหมาะกับครอบครัวหรือใครที่ชอบพื้นที่ใส่ของเยอะมากกว่า และในรุ่น Performance จะมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ อย่างชุดล้อ Uberturbine 21 นิ้ว และตัวสปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์ด้านหลังที่ทำให้รู้สึกเท่ โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
ด้านในรถนั้นก็ยังคงความมินิมอล ไม่มีอะไรเยอะแยะให้รกตา ให้ความรู้สึกกว้างขวางมาก ไม่ว่าจะนั่งหน้าหนังหลังก็พื้นที่เหลือ ๆ สำหรับคนตัวใหญ่ หรือคนที่ชอบนั่งเหยียดขายาว ๆ ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับ รวมถึงพื้นที่ใส่สัมภาระทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 2,158 ลิตร เรียกได้ว่าจะทริปไกลหรือใกล้ ก็สามารถใส่ของได้สบาย ๆ และสิ่งที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้ ในตัวด้านในรถจะเป็นแป้นเหยียบแบบอะลูมิเนียมอัลลอยครับ
การออกแบบโครงสร้างตัวถังของ Tesla Model Y ให้ความสำคัญที่ความปลอดภัยสูงมาก เพราะมันถูกออกแบบให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ สามารถกระจายแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม ได้รับการรับรองจากเหล่าสถาบันทดสอบความปลอดภัยชั้นนำตามมาตรฐานของทั้งยุโรปและอเมริกา ทำให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น รถคันนี้จะเป็นเกราะป้องกันอันตรายไม่ให้คนที่อยู่ภายในรถบาดเจ็บแน่นอน
ในเรื่องการออกแบบภายใน มีการคำนึงถึงเรื่องการขับขี่ของผู้ขับขี่เป็นหลักด้วย ทำให้คนขับมีมุมมองเวลาขับที่ยอดเยี่ยม สามารถมองเห็นได้กว้างขึ้นจากการเอาหน้าปัดตรงหน้าคนขับออก เพื่อให้คนขับมีสมาธิกับการขับได้มากขึ้น ส่วนพวกรายละเอียดการขับจะไปแสดงผลอยู่ในหน้าจอ 15 นิ้วแทน
และเพื่อให้ตัวรถรู้สึกโปร่งสบายขึ้น รถคันนี้ยังมี Panoramic Glass Roof ทำให้เห็นมุมมองมุมสูงได้ ซึ่งรถดั้งเดิมจากโรงงานจะมีการติดฟิล์มกรองแสงมาให้แล้ว รวมถึงตรงกระจกหลัง ทำให้แม้จะมีกระจกรอบคันแต่นั่งแล้วไม่ร้อน
ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ สมรรถนะของรถครับ เมื่อเป็นรุ่น Performance ต้องหมายถึงการขับขี่ที่เร้าใจขึ้น และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะในรุ่นนี้เพิ่มความเร็วสูงสุดเป็น 250 กม. / ชม. จากรุ่นธรรมดาที่ทำได้แค่ 217 กม. / ชม. อัตราเร่ง 0 – 100 กม. ในเวลา 3.7 วินาที ระยะทางที่สามารถวิ่งได้เมื่อชาร์จเต็มสูงสุดถึง 582 กม. จากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้พละกำลังสูงสุด 534 แรงม้า ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบตเตอรี่ Lithium-ion รุ่นเดียวกับตัว Long Range แต่รุ่นนี้จะมีกำลังมากกว่าทำให้วิ่งได้ไม่เท่า Long Range แต่ตัวเลข 582 กม. ก็เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลขไม่ว่าจะขับในเมือง 1 วัน หรือขับออกต่างจังหวัด
จากสมรรถนะ ทำให้รถยนต์คันนี้โดยรวมขับสนุกมาก ๆ เหยียบเป็นมา เร่งเป็นเร่ง (จนต้องอาจระวังสักนิด เพราะการตอบสนองดีมาก) แถมยังควบคุมดี รถไม่ส่าย มาพร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมด เรียกได้ว่าด้วยสมรรถนะระดับนี้สามารถสู้กับรถค่ายใหญ่ต่าง ๆ ได้สบาย แต่เรื่องของช่วงล่างบางจังหวะอาจจะสะเทือนค่อนข้างมากในที่นั่งด้านหลัง และเพราะมันเป็นรถ SUV ที่มีขนาดใหญ่ทำให้มันสามารถลุยได้ในหลาย ๆ พื้นถนน ทำให้มันเหมาะทั้งการใช้ในเมืองและการขับออกไปเที่ยวในวันหยุดครับ
ฟังก์ชันต่าง ๆ จัดเต็ม ทั้งการขับขี่ ไปจนถึงความบันเทิงในรถ
มาดูเรื่องฟังก์ชันและระบบของรถคันนี้กันบ้าง สำหรับรถ Tesla มีการออกแบบที่ลดความจุกจิกของปุ่มกดต่าง ๆ ในรถลง ให้มารวมอยู่ในหน้าจอกลางขนาด 15 นิ้ว ทั้งหมด และหน้าจอนี้ถือเป็นหนึ่งในหัวใจหลัก และเป็นส่วนที่แสดงความอัจฉริยะของรถคันนี้ออกมาให้เห็นครับ
เริ่มตั้งแต่สัมผัสแรกของหน้าจอ เรารู้สึกเลยว่ามันลื่นมาก ๆ กดแล้วไปแบบทันใจ ทำให้สามารถดูรายละเอียดของรถได้ทันที รวมไปถึงระบบการขับต่าง ๆ มากมาย จะสั่งการผ่านหน้าจอนี้ทั้งหมด ตั้งแต่การล็อครถ เช็คสถานะไฟที่เหลือกับระยะทางที่วิ่งได้ ปรับความเย็นแอร์ ที่เป็นการปรับพื้นฐาน ไปจนถึงเปิดแผนที่ดูเส้นทางการขับขี่ ดูจุดชาร์จ ดูกล้องรอบคันรถเวลาขับขี่ทำให้เวลาเปลี่ยนเลนมองเห็นจุดอับสายตา ทุกอย่างอยู่ในหน้าจอนี้ทั้งสิ้น
ไฮไลท์หลักที่น่าสนใจการขับขี่ Tesla คันนี้ อยู่ที่การที่เราได้ลองใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามเวลาที่เรามี ทั้ง EAP (Enhanced autopilot) และ FSD (Full self driving) ที่มีทั้งระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ระบบเปลี่ยนเลน ไปจนถึงระบบควบคุมการขับขี่ตามสัญญาณจราจร และที่เด่นสุด ๆ คือ Cruise Control สำหรับขับบนทางตรงยาว ๆ อย่างทางหลวง เพียงแค่กดปุ่มตรงพวงมาลัยตัวรถก็จะรักษาความเร็วรวมถึงเบรกให้อัตโนมัติ แต่รถจะเตือนเราตลอดเวลาให้เราประคองพวงมาลัยเอาไว้ด้วย หากต้องเข้าโค้งที่โค้งมาก ๆ เราจะต้องจับพวงมาลัยเลี้ยวเอง ซึ่งระบบที่มีให้ใช้ในประเทศไทย ยังไม่ใช่ FSD เต็มรูปแบบเหมือนต่างประเทศนะครับ ก็ต้องรอดูอัพเดตต่อ ๆ ไปในอนาคต เพราะท้องถนนแบบไทย ๆ ยังคงมีอะไรที่ต้องใช้ไหวพริบของมนุษย์อยู่เสมอ
ระบบขับขี่อัตโนมัตินี้จะมีการอัพเดต software อัตโนมัติผ่านดาวเทียมอยู่เสมอ ทำให้มั่นใจได้ว่ารถจะมีการปรับปรุงแก้ไขระบบต่าง ๆ เป็นประจำ และหากใครที่อยากใช้งานระบบเหล่านี้จะต้องจ่ายเพิ่ม โดย EAP จะจ่ายเพิ่มอีก 120,000.- และ FSD จะจ่ายเพิ่มอีก 244,000.- ครับ
ปิดท้ายในส่วนนี้ด้วยการเชื่อมต่อและสิ่งอำนวยความสะดวกในรถกันสักนิด ในรถตรงคอนโซลหน้าจะมีจุดวางโทรศัพท์สำหรับชาร์จแบบไร้สาย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องโทรศัพท์ของเราและเพื่อนร่วมทาง นอกจากนี้ในหน้าจอกลางยังมีลูกเล่นมากมายให้ลองเล่นระหว่างขับขี่ เช่น เปลี่ยนรถของเราให้เป็นรถม้า หรือทำให้ถนนในจอเป็นสายรุ้ง ทำให้การขับขี่ไม่น่าเบื่อเพราะสามารถคัสตอมได้ตามความชอบ
ส่วนสิ่งบันเทิงในรถอื่น ๆ มีทั้งเกม และ Browser ให้เปิด โดยจะสามารถใช้งานได้เมื่อรถจอด ที่มีสิ่งเหล่านี้มาให้ เพราะตัวรถสามารถเปิดโหมด Camping ได้ ทำให้แค่มีรถคันเดียวเวลาออกต่างจังหวัดไปตั้งแคมป์ ไปนอนดูดาว หรือเดตตอนกลางคืนแบบโรแมนติกก็สามารถใช้รถคันนี้แทนแคมป์ได้ด้วยเช่นกัน ตัวรถเองก็มีพื้นที่มากพอที่สามารถปรับพื้นที่ด้านหลังให้เป็นที่นอนได้ด้วย
ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อ ตัวรถสามารถ log in ID ของแอปฟังเพลงต่าง ๆ ได้โดยตรง หรือจะเชื่อมต่อมือถือเพื่อเปิดเพลงโปรดก็ย่อมได้ และขอบอกว่าระบบเครื่องเสียงของรถนี้ฟังเพลงได้เสียงชัดทีเดียวครับ
ความคุ้มค่า และความเห็นส่วนตัวของเรา
โดยรวม ๆ และรถคันนี้เป็นรถที่ฟังก์ชันครบ และขับสนุก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลาย ๆ คนน่าจะมีความกังวลในเรื่องของจุดชาร์จ โดยเฉพาะที่วางแผนจะออกต่างจังหวัดไปเที่ยวไกล ๆ แบบขับรถไป น่าจะต้องวางแผนแวะจุดชาร์จกันให้ดี ทำให้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ทาง Tesla ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามติดตั้งสถานี Supercharging ให้ครอบคลุมทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันกรุงเทพมีสถานี Supercharging อยู่ 3 แห่ง คือ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพระราม 2 และเซ็นทรัลพระราม 3 และล่าสุดกำลังจะมีสถานีเพิ่มเติมที่ ICONSIAM อีกที่ ส่วนสถานี Supercharging นอกกรุงเทพแห่งแรกกำลังจะสร้างขึ้นที่พัทยาครับ ทาง Tesla ยังตั้งเป้าด้วยว่าภายในสิ้นไตรมาสที่ 2 นี้ จะมีการสร้างสถานี Supercharging 7 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ Tesla สามารถชาร์จไฟฟ้าให้กับรถได้อย่างรวดเร็ว และมีอิสระในการเดินทางที่มากขึ้น
สำหรับสถานี Supercharging ของ Tesla จะสามารถชาร์จได้ระยะทางสูงสุด 308 กม. ในเวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น ในระหว่างนั้นเราสามารถพักจิบกาแฟหรือกินของว่างในสถานีชาร์จไปพลาง ๆ ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันของทาง Tesla กับผู้ให้บริการสถานีชาร์จที่ทางแบรนด์ต้องคัดเลือกครับ
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนกังวล ก็หนีไม่พ้นเรื่องของศูนย์บริการ ล่าสุดทาง Tesla ก็ออกมาประกาศว่ากำลังจะเปิดศูนย์บริการแห่งใหม่ที่ถนนรามคำแหง โดยมีกำหนดเปิดในเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ และจะเป็นศูนย์บริการครบวงจรทั้งโชว์รูม สถานที่ส่งมอบรถ ศูนย์ซ่อมรถ และในอนาคตน่าจะได้เห็นศูนย์บริการของ Tesla เพิ่มขึ้นอีกครับ
ปิดท้ายด้วยข้อติเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ จากการที่เราได้ลองใช้งาน ลองนั่ง ลองขับอยู่หลายชั่วโมง สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าแม้จะดีแต่ก็มีข้อเสียในตัว คือ การที่ Tesla เอาทุกอย่างไปรวมอยู่ในหน้าจอเดียวนี่แหละครับ เพราะบางอย่างที่มันเป็นฟังก์ชันง่าย ๆ อย่างล็อครถ ปรับแอร์ หรือเปิดช่องเก็บของที่นั่งข้างคนขับ ที่มันควรเป็นปุ่มกดไว ๆ มันก็ไปอยู่ในหน้าจอหมดเลย ถ้าใครที่ไม่เคยใช้ก็ต้องกดหากันอยู่พักหนึ่ง ไม่ตอนที่ถ้าขับรถคนเดียวแล้วต้องกดจอไปด้วย มันน่าจะดึงสมาธิของเราไปจากถนนพอสมควรครับ
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องวัสดุที่ใช้ภายในรถบางจุดครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นรุ่น Performance เน้นความเร็ว แต่ภายในรถมีการตกแต่งคอนโซลด้านหน้าและเป็นลายไม้ และเป็นวัสดุที่ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ พอสมควร ไม่ค่อยสมกับเป็นรุ่นท็อปเท่าไหร่ คือถ้าใช้ไม้ลงเคลือบเงาสวย ๆ ไปเลย ไม่ก็เป็นคาร์บอนไฟเบอร์เท่ ๆ ไปเลยน่าจะให้ความรู้สึกเป็นตัวท็อปกว่า
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว Tesla Model Y Performance เป็นรถสำหรับครอบครัว คนที่เดินทางเป็นกลุ่ม หรือคนที่ต้องการพื้นที่เก็บของเยอะ สามารถลุยได้ในหลายสภาพท้องถนน รวมถึงขับในเมือง แต่ไม่ทิ้งเรื่องของสมรรถนะที่เร้าใจ และฟังก์ชันอัจฉริยะในแบบของ Tesla ทั้งหมดมาในราคาเริ่มต้น 2,509,000.- เป็นสีเดิมจากโรงงาน ถ้าทำสีขาว น้ำเงิน เทา เพิ่มอีก 50,000.- และสีแดงเพิ่มอีก 80,000.- ก็ถือว่าเป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่มีความคุ้มค่า น่าสนใจ และน่าจับตามองมาก ๆ ในตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อทางแบรนด์กำลังพยายามสร้างศูนย์บริการและจุด Supercharging เพื่อการสนับสนุนลูกค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อเตรียมรับมือการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีที่กำลังจะมาถึงครับ