การได้ลองทานอาหารที่ยังไม่เคยทานมาก่อนถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าประทับใจเสมอครับ บางทีอาจได้เมนูโปรดในลิสต์เพิ่มขึ้นก็ได้ สำหรับอาหารอินเดียเราเชื่อว่าน่าจะเป็นอาหารประเภทที่หลาย ๆ คนยังไม่เคยลองทานแบบ Fine Dining วันนี้ MenDetails.com จะพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารอินเดียแบบใหม่ในสไตล์ Neo-Indian ที่ ร้าน Haoma สุขุมวิท 31 ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางอโศกกันครับ
Farm-to-Table Oasis ณ ร้าน Haoma
จากวัตถุดิบที่ปลูกเองสู่จานอาหารชั้นเลิศของเชฟดีเค
Haoma สุขุมวิท 31 ไม่ใช่ภัตตาคารอาหารจีนอย่างที่หลายคนอาจเข้าใจเมื่อได้เห็นชื่อ แต่เป็นร้าน Fine Dining อาหารแนว Neo-Indian ที่ถูกตีความใหม่และเสิร์ฟออกมาในสไตล์ของ Chef Deepankar “DK” Khosla หรือเชฟดีเคผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านนั่นเองครับ
Haoma (ฮาโอม่า) เป็นชื่อพืชศักดิ์สิทธิ์ใน Zoroastrianism และวัฒนธรรมเปอร์เซียที่มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกาย ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดและความตั้งใจของเชฟดีเคที่จะรังสรรค์จานอาหารชั้นเลิศ จากวัตถุดิบของตัวเอง ใช้ประโยชน์ให้เกิดสูงสุด พร้อมทั้งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน
หากเดินไปหลังร้านก่อนจะเริ่มมื้ออาหาร เราจะพบกับแปลงผักขนาดราว 200 ตารางเมตรที่เป็นผักปลูกเองด้วยหลากหลายวิธีทั้งการใช้ดิน Organic, Hydropronics (ปลูกแบบไม่ใช้ดิน) และ Aquaponics (นำน้ำที่ใช้จากการเลี้ยงปลามาปลูกพืช) ซึ่งมีการหมุนเวียนตามฤดูกาล เชฟดีเค รวมถึงบ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้วยนอกจากวัตถุดิบจากสวนเขียวขจีภายในร้านแล้ว วัตถุดิบอื่น ๆ ที่ใช้ล้วนเป็นของธรรมชาติที่นำมาจากหลายแห่งในประเทศไทย ทั้งอาหารทะเลจากภูเก็ต เป็ดและไก่จากฟาร์มที่เชียงใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เราได้สัมผัสว่าความใส่ใจที่เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนแรกเป็นอย่างไรครับ
เมื่อเดินเข้ามาในร้านจะรู้สึกถึงการตกแต่งที่ค่อนข้างเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์สีไม้ ผนังแต่งด้วยท่อนไม้และต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ โต๊ะไม่เยอะมากทำให้บรรยากาศในร้านค่อนข้างสงบและไม่อึดอัด สำหรับคอร์สหลักที่จะทานมีการปรับเปลี่ยนตลอดตามไอเดียของเชฟ รวมถึงวัตถุดิบตามฤดูกาลในช่วงนั้น ๆ ซึ่งทาง MenDetails ได้ลองทานเป็น 10 courses meat based ที่ไม่ใช่มังสวิรัติในราคา 2,990.- ++ คู่กับ beverage pairing ครับ ส่วนใครที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ก็จะมีคอร์สสำหรับมังสวิรัติด้วยเช่นกัน และยังสามารถสั่งเป็นจาน A la carte ได้ครับ
จากการตีความเฉพาะตัวสู่การสร้างสรรค์อาหารสไตล์ Neo-Indian
เมนู Double Roti ที่มีทั้งแป้งพร้อมแกงสามชนิด
คงต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักอาหารอินเดียประเภท Neo-Indian และเชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัยว่านีโอ-อินเดียนนั้นเป็นอย่างไร โดยปกติอาหารอินเดียที่เราคุ้นเคยมักจะในสไตล์รสชาติจัดจ้านเรื่องเครื่องแกงกับเมนูประจำอย่าง Butter Chicken, Naan, Chicken Tikka Masala, Kebab และ Chicken Biryani แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้ลิ้มลองจาก Haoma ครับ
เมนูทางซ้าย คือ Mattar & Daal Kachori ส่วนทางขวา คือ Dosa
Neo-Indian เป็นการปรุงอาหารอินเดียในการตีความของเชฟดีเค รสชาติที่เกิดจากส่วนผสมของอาหารอินเดียดั้งเดิมในความทรงจำจากบ้านเกิด ประกอบกับการสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นเชฟหลายแห่งและการชูวัตถุดิบธรรมชาติจากในประเทศ ได้กลายมาเป็นประสบการณ์ในการลิ้มลองรสชาติอาหารอินเดียรูปแบบใหม่นั่นเองครับ
หากจะพูดถึงรสชาติอาหารอินเดียดั้งเดิม คงบอกได้ยากว่าที่เราเคยทานมาตลอดนั้น เป็นแบบฉบับต้นตำรับ หรือเป็นแบบที่ปรุงให้เขากับลิ้นคนไทยแล้วกันแน่ หรือต่อให้เคยบินไปไกลถึงอินเดีย ก็คงยากที่จะฟันธงได้ว่า รสชาตินั้นคือของแท้
ฉะนั้นสำหรับการลองทานอาหาร Neo-Indian ณ ที่แห่งนี้ การเปิดใจลองรับรสชาติในแบบที่เชฟตั้งใจจะรังสรรค์ อาจจะช่วยทำให้เราสนุกกับจานอาหารมากกว่ายึดติดกับรสชาติอาหารอินเดียในแบบเดิม ๆ ครับ
ร้าน Haoma คือ Fine Dining ที่ต้องทำความเข้าใจอีกแบบหนึ่ง
Haoma เป็น Fine Dining ที่ต่างจากภาพที่คิดในหัวไว้อยู่เล็กน้อยครับ เมื่อพูดถึง Fine Dining เรามักจะนึกถึงวัตถุดิบสุดเลิศล้ำ การปรุงรสอย่างพิถีพิถัน และจัดจานมาอย่างสวยงามให้ดูน่ารับประทาน เรียกว่าเป็นการบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างจากเชฟสู่คนทานผ่านศิลปะบนจานอาหาร เริ่มต้นจากจานที่รสชาติเบาและค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจานหลัก ซึ่งจุดที่ต่างจากความคาดหมายของเรา คือ เรื่องรสชาติของแต่ละคอร์สครับ
Noonehungry ข้าวหมกบริยานีมีทั้งเนื้อไก่และเนื้อแกะให้เลือก ท็อปด้วยชีสนมแพะ เป็น Main Course จานสุดท้ายที่เสิร์ฟก่อนของหวาน
10 คอร์สของ Haoma ที่ได้ลองนั้นเริ่มต้นด้วยเมนูที่จะเปิด palate การรับรสในปากเราทั้งหมด ซึ่งต้องบอกว่าเข้มข้นมากตั้งแต่คำแรกเลยทีเดียว และจานถัดไปก็ยังคงมีความหนัก ความเข้มข้นของรสชาติมากในระดับเท่า ๆ กันอยู่ อาจบอกได้ว่าทั้งคอร์สที่เสิร์ฟ ไม่ได้ค่อย ๆ ไต่ระดับรสชาติจากอ่อนไปยังเข้มข้น เพราะโดยรวมจะรู้สึกว่ารสชาติเข้มข้นใกล้เคียงกันทั้งหมดครับ
3 จานไฮไลท์จาก ร้าน Haoma ที่น่าประทับใจทั้งรสชาติและเรื่องราว
จานแรกที่เรายังคงจดจำรสชาติได้ชัดเจน คือ Dishaa ที่เสิร์ฟมาพร้อมกันสี่จาน เป็นจานเริ่มต้นที่จะช่วยเปิด palate รับรสชาติในปากให้พร้อมสำหรับ 10 courses ที่จะได้ทานต่อไปนี้ โดยเริ่มจากจานทิศเหนือ Prarambha ทาร์ตเห็ดแป้งกรุบกรอบที่กัดเข้าไปแล้วได้รสชาติ spice จากเครื่องเทศเต็ม ๆ คำ เป็นการเริ่มต้นที่บอกได้ว่าอร่อยมาก
ถัดมา คือ ทิศตะวันตกกับจาน Dhokla แป้งผสมถั่วคลุกงาขาวที่มีรสเปรี้ยวซ่อนอยู่เข้ามาดับความเผ็ดร้อนจากทาร์ตเมื่อสักครู่ ต่อไปทิศตะวันออก ทับทิมสีแดงสวย คือ Puchka รสชาติเปรี้ยวและเผ็ดเครื่องเทศคละเคล้ากันไป มีความ crispy จากแป้ง
จบคำสุดท้ายที่ทิศใต้ Paniyaram ที่เป็นเหมือนขนมหวาน เมื่อกัดเข้าไปไวท์ช็อกโกแลตเข้าไปจะเจอน้ำเมล่อนผสมมะม่วงช่วยให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี
เมนู Khandvi เสิร์ฟมาในกล่องทรงกลมสีดำ เมื่อเปิดฝาออกจะพบกับครีมคัสตาร์ดสีเหลืองนวล มีเจลลี่ Yuzu รสเปรี้ยววางอยู่ตรงกลางแล้วท็อปด้วย Royal Oscieta Caviar ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารที่ทางอินเดียแจกจ่ายในช่วงวิกฤตขาดแคลนอาหารเมื่อครั้งอดีต
Bengal Gram Lentil คือ ถั่วที่ถูกนำมาบดจนกลายเป็นคัสตาร์ดสีเหลืองที่เราเห็นกัน เนื้อเนียนและรสสัมผัสนุ่มมากจนนึกไม่ถึงเลยว่าทำมาจากถั่วครับ เป็นเมนูที่รสชาติ light กว่าหลาย ๆ คอร์สที่ได้ทาน เรียกว่าเป็นจานที่มาช่วยบาลานซ์ให้รสชาติอาหารโดยรวมกลมกล่อมครับ
สุดท้ายกับเมนูที่ครบถ้วนทั้งด้านไอเดียและรสชาติกับ Marnasann Sagar เนื้อกุ้ง phuket lobster เสิร์ฟคู่กับซอส Seafood Jus, Herb และ Chilli Oil ตอนแรกจะเสิร์ฟกุ้งพร้อมสาหร่ายกรอบมาก่อนแล้วค่อยเทหยด Curry Leaf Oil ตามด้วยน้ำมันพริกและซอสซีฟู้ดที่ปรุงด้วยกระวานดำและโป๊ยกั๊กลงไปในจานทีละขั้นแล้วจึงพร้อมรับประทาน
ไอเดียของจานนี้ พูดถึง มหาสมุทรที่กำลังโดนทำลาย โดยซอสซีฟู้ดสีดำเป็นตัวแทนของสิ่งปฏิกูลและขยะจากฝีมือมนุษย์ที่ทำลายสมดุลของมหาสมุทรลง ขณะที่เส้นสาหร่ายนั้นเป็นตัวแทนของพลาสติกที่ถูกทิ้งลงไปด้วยนั่นเอง ถือว่าไอเดียในจานนี้สื่อสารได้อย่างชัดเจน ส่วนเรื่องรสชาติ เนื้อกุ้งเด้งและสดมาก ทานพร้อมกับสาหร่ายที่มีความกรุบและซอสที่ราดลงไปเข้ากันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
และนี่คืออีกหนึ่งประสบการณ์การลิ้มลองอาหารอินเดียสไตล์ Neo-Indian ที่แปลกใหม่สำหรับเรา ใครที่อยากมาลองด้วยตัวเอง ทางร้าน Haoma เปิดให้บริการทุกวันอังคารถึงอาทิตย์ โดยเสิร์ฟคอร์สเมนูอาหารเย็นในวันอังคารถึงเสาร์ และเสิร์ฟคอร์สอาหารกลางวันในวันอาทิตย์ ซึ่งแต่ละวันเวลาให้บริการไม่เท่ากัน แนะนำให้จองคอร์สและเช็ควันเวลาที่ว่างก่อนแวะไปนะครับ