หนึ่งในคำถามที่ MenDetails ได้รับจากผู้อ่านของเราอยู่เสมอนั่นก็คือ “ระหว่าง รองเท้า Wholecut Oxford กับ Cap Toe Oxford นั้น อะไรสุภาพและเป็นทางการมากกว่ากัน?” แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยในความคลาสสิกของ รองเท้าแค็บโท อ๊อกซ์ฟอร์ด ในฐานะรองเท้าหนัง 1 คู่ที่ผู้ชายทุกคนควรมี แต่รองเท้าที่เรียบหรูและ Minimal อย่างรองเท้าโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ดล่ะ มันสามารถเทียบกันได้ไหม วันนี้ MenDetails จึงขอเอาประวัติของโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ดมานำเสนอ พร้อมตัวอย่างของรองเท้าโฮลคัทยุคใหม่จาก Carmina Shoemaker เพื่อวัดกันไปเลยว่าอะไรจะคลาสสิกกว่ากันแน่
กำเนิด รองเท้า Wholecut Oxford
เรื่องราวเริ่มต้นจาก ซินญอร์ Alessandro Berluti เกิดเมื่อปี ค.ศ.1865 ที่เมือง Sanigallia ในประเทศอิตาลี ในช่วงวัยรุ่นนั้นเขามีอาชีพเป็นช่างทำรถม้าที่ประกอบด้วยวัสดุหลักอย่างไม้และเบาะหนัง ต่อมาเขาได้หันมาร่ำเรียนวิชาการทำรองเท้าจากช่างทำรองเท้ารุ่นเก๋าในเมืองที่เขาอาศัยอยู่ นั่นทำให้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองมาศึกษาการทำรองเท้าเป็นอาชีพอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่การทำหุ่นรองเท้าด้วยไม้ ไปจนถึงการตัดเย็บรองเท้าด้วยหนังอันมีที่มาจากความรู้ความชำนาญทั้งสองวัสดุจากการทำรถม้านั่นเอง
ซินญอร์ อเลสซานโดร เบอลูติ ย้ายถิ่นฐานจากอิตาลีมาอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1882 และเริ่มต้นก่อตั้งแบรนด์รองเท้าของตัวเองที่มีชื่อว่า Berluti ในปี ค.ศ.1895 พร้อมกับการนำเสนอดีไซน์รองเท้าที่ถือว่าล้ำหน้าและแหวกแนวอย่างยิ่งในยุคนั้น โดยเป็นรองเท้าหนังผูกเชือกสไตล์ Oxford ที่ทำจากหนังชิ้นเดียวล้วน ๆ ไม่เห็นรอยเย็บใด ๆ ทั้งสิ้นบนตัวรองเท้าด้านหน้า จะมีก็เพียงรอยเย็บเก็บงานทั้งหมดตรงส้นรองเท้าที่เดียวเท่านั้น เขาตั้งชื่อรุ่นรองเท้าดีไซน์นี้ว่า “Alessandro” ตามชื่อของเขาเอง และในที่สุด รองเท้าโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด คู่แรกของโลกก็วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายใต้แบรนด์ Berluti ด้วยประการฉะนี้
จากปี ค.ศ.1895 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วตั้งแต่ที่ Wholecut Oxford ถือกำเนิดขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างก็มีวิวัฒนาการตามกาลเวลา อย่างแรกคือแบรนด์ Berluti ที่เคยเป็นตราสินค้าที่โด่งดังอย่างยิ่งในเรื่องของ Craftmanship และการทำรองเท้า Bespoke Shoes อย่างประณีตบรรจงด้วยวิธีการดั้งเดิม ถูกผนวกเข้าไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของกลุ่มทุนใหญ่อย่าง LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton ทำให้ Berluti ค่อย ๆ กลายสภาพเป็น Fashion Brand แทบจะสมบูรณ์แบบแล้วในปัจจุบัน แม้รองเท้า Iconic อย่างรุ่น 1895 Alessandro จะยังคงอยู่ แต่ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนไปมาก พร้อมกับราคาที่ “หนักอึ้ง” จนอาจทำให้คุณถอยกรูดได้ง่าย ๆ
โชคยังดีที่ดีไซน์ของ รองเท้า Wholecut Oxford นั้น ไม่ได้กลายเป็นดีไซน์ “ต้องห้าม” นั่นจึงทำให้แบรนด์รองเท้าแบรนด์อื่น ๆ สามารถนำดีไซน์และรูปแบบการตัดเย็บรองเท้าโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด อันเป็นคุณูปการของ Berluti ไปผลิตในรูปทรงหรือ Last รองเท้าของตัวเองได้เช่นกัน ในปัจจุบันแบรนด์รองเท้าทั่วโลกต่างก็มี Wholecut Oxford เป็นของตัวเอง ทั้งแบรนด์ระดับสูงอย่าง George Cleverley, Edward Green ไล่มาจนถึงแบรนด์ระดับกลางอย่าง Carmina Shoemaker ของสเปนด้วยเช่นกัน
รองเท้า Wholecut Oxford โดย Carmina Shoemaker
MenDetails หยิบเอาตัวอย่าง รองเท้า Wholecut Oxford สีดำสนิทจากแบรนด์ Carmina Shoemaker ที่วางจำหน่ายที่ ร้าน Curated & Co ในสยามสแควร์ ซอย 2 มาเป็นแบบในการอธิบายลักษณะต่าง ๆ ของรองเท้าดีไซน์นี้ให้ผู้อ่านได้พิจารณากันครับ
รองเท้า Wholecut Oxford จาก Carmina Shoemaker รุ่นนี้ใช้ Last รองเท้าที่มีชื่อว่า “Rain” ซึ่งเป็นหุ่นรองเท้าที่มีหัวรองเท้าทรงเหลี่ยมมน (Soft Square Toe) หากมองด้านข้างจะเห็นว่าปลายหัวรองเท้านั้นงุ้มลงจิกพื้น ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ทาง Carmina ได้รับอิทธิพลมาจาก Berluti รุ่น Alessandro ที่ถือเป็น Original ของรองเท้าสไตล์นี้มาไม่น้อยเลยทีเดียว
ช่วงเอวของรองเท้านั้นโค้งเว้ารับกระชับเข้ากับเท้าของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ว่าที่จริงแล้ว Rain Last ของ Carmina ถือเป็นหนึ่งใน Last ที่ลงตัวที่สุดของ Carmina Shoemaker เลยก็ว่าได้ เพราะเป็น Last ที่ไม่กว้างหรือแคบเกินไป และรับกับเท้าของผู้ชายชาวเอเชียส่วนใหญ่ได้อย่างสวยงามดีทีเดียว
รายละเอียดของ โฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด จาก Carmina Shoemaker ถือว่าครบถ้วนตามลักษณะที่ควรจะเป็นทุกประการ หนังชิ้นเดียวที่เกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิจากโรงฟอก Tannerie D’Annonay นำมาทำเป็นตัวรองเท้าโดยไม่ต้องมีรายละเอียดหรือรอยเย็บใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงรอยเย็บเก็บหนังทั้งหมดหลบอยู่ที่ส้นเท้าเพียงจุดเดียวเท่านั้น พร้อมพื้นรองเท้าแบบปิดรอยเย็บ Closed Channel ที่ถือเป็นมาตรฐานของ Carmina เข้ากันได้ดีกับความเนี้ยบและเป็นทางการของรองเท้าสไตล์นี้อย่างไม่มีสะดุด
หากจะเลือกสีรองเท้า Wholecut Oxford ที่เหมาะสมเพียงสีเดียว MenDetails คิดว่า “สีดำ” คือสีที่ผู้ชายทุกคนควรมี นั่นเพราะเป็นสีที่เหมาะสมกับความเนี้ยบและความสุภาพขั้นสูงสุดของรองเท้าหนังสไตล์นี้ และเรายังสามารถใส่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่การใส่ไปเรียนในมหาวิทยาลัย หรือจะใส่ไปทำงานออฟฟิศ แม้แต่ใส่ไปร่วมงานแต่งงาน หรือใส่ออกงานเองในฐานะเจ้าบ่าว ไปจนถึงออกงานสังสรรค์ที่เป็นทางการทั้งหมดครับ และถ้าหากเราขัดรองเท้าหนัง Wholecut Oxford สีดำจนเงาวับแบบ Mirror Shine ก็สามารถนำไปใส่คู่กับชุด Tuxedo หรือ Dinner Jacket ในเดรสโค้ด Black Tie ได้อีกด้วย
“The Modern Classic”
หากเทียบอายุการถือกำเนิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ต้องถือว่า รองเท้าโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด เป็น “น้องเล็ก” เมื่อเทียบกับรองเท้า Oxford ดีไซน์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Balmoral Boots, Oxford Plain Toe หรือ Oxford Cap Toe ที่มีอายุอานามเก่าแก่กว่า Wholecut หลายทศวรรษ ดังนั้นในสายตาของผู้ชายที่ชื่นชอบรองเท้าหนังสายคลาสสิกดั้งเดิมมักมองว่า Wholecut Oxford คือรองเท้า “รุ่นใหม่” ที่ไม่ได้คลาสสิกอย่างแท้จริงเฉกเช่น Oxford Cap Toe
แต่ทว่าด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและรายละเอียดบนตัวรองเท้าที่น้อยกว่ารองเท้า Oxford ประเภทอื่นทั้งหมด ทำให้หากเราใช้หลักการการแต่งกายของผู้ชายที่ระบุว่า “ยิ่งเรียบเท่าไหร่ ยิ่งสุภาพเท่านั้น” นั่นกลับกลายเป็นเรื่องตาลปัตรที่ รองเท้าโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด ควรจะมีความสุภาพและเป็นทางการมากกว่า Oxford Cap Toe ด้วยซ้ำไป ติดอยู่เพียงคำว่า “The True Classic” ของ Oxford Cap Toe ที่คอยเป็นก้างขวางคอไม่ให้ The Modern Classic อย่าง Wholecut Oxford เหยียดตัวขึ้นไปเทียบชั้นได้เท่านั้นจริง ๆ
อย่างไรก็ดี กาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ความรับรู้เรื่องสไตล์ของ โฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด ก็เปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน ตลอดระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา รองเท้าโฮลคัท อ๊อกซ์ฟอร์ด สั่งสมกิตติศัพท์ของความเรียบหรูและเป็นทางการของตัวเองจนเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า รองเท้าสุด Minimal คู่นี้สามารถเป็นรองเท้าที่ผู้ชายใส่ไปร่วมงานที่เป็นทางการได้แทบทุกที่อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นรองเท้าหนัง Modern Classic ที่ผู้ชายทุกคนควรมีไว้ ตีคู่ไปกับ Cap Toe Oxford ได้อย่างสง่างาม จะเลือกคู่ไหนแบบใดมาสวมใส่ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดทั้งสิ้น
แต่ถ้าจะให้ดี MenDetails ว่า มีทั้ง 2 แบบไปเลยนั่นแหละ ดีที่สุดครับ