หลังจบการเที่ยวเมืองนางาซากิวันแรกเรียบร้อย ซีรีส์ MenDetails x Nagasaki ก็เดินทางมาถึงวันที่ 2 ของการเที่ยวเมืองนางาซากิแล้วครับ เป็นทริปที่สำหรับผู้เขียนแล้วผ่านไปไวพอสมควร ในวันนี้ที่ 2 ในตัวเมืองนางาซากินี้ โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ฝนตกตั้งแต่เช้า ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศงานเทศกาล Nagasaki Kunchi กร่อยไปพอสมควร เพราะชาวเมืองทุก ๆ คนตั้งตารอคอยเทศกาลนี้มาก ส่วนผู้เขียนเองที่วันนี้ตั้งว่าจะเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองก็เลยใช้เวลาช่วงเช้าพักผ่อนในโรงแรม และนั่งรถรางไปช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า (เผื่อใครสนใจ ห้างชื่อ Mirai Nagasaki Cocowalk นั่งรถรางมาลงสถานี Morimachi แล้วข้ามถนน) ซื้อของต่าง ๆ กลับไทยครับ
พอสักเกือบเที่ยงฟ้าฝนเริ่มเป็นใจ บรรยากาศเทศกาลในเมืองเริ่มกลับมาอีกครั้ง และการเที่ยวรอบเมืองของผู้เขียนก็เริ่มขึ้น แม้จะล่าช้าไปบ้างก็ตาม และเราก็ได้นำสถานที่น่าสนใจเหล่านี้มาบอกเล่า ให้ผู้อ่านทุกท่านได้เห็นว่าเมืองนางาซากิยังมีอะไรให้เราได้ค้นหาอีกเยอะมาก ๆ ครับ
กิน Toruko Rice หนึ่งในเมนูท้องถิ่น ที่ร้าน Tsuru Chan
เมื่อพูดถึงอาหารท้องถิ่นของนางาซากิที่มีมากมาย และหลาย ๆ อย่างก็เกิดจากการผสมผสานกันทางวัฒนธรรมแล้วนั้น เมนูที่หลายคนน่าจะคุ้นชื่อหรือนึกถึงอาจจะเป็นจัมปง ซึ่งเราก็เคยเขียนเรื่องราวของมันไว้แล้ว (รวมถึงใครที่อยากกินที่ไทยก็สามารถไปลองกินได้) แต่ทริปนี้ของเรา ผู้เขียนอยากจะแนะนำอีกหนึ่งอาหารท้องถิ่นที่มีเฉพาะในจังหวัดนางาซากิอีกหนึ่งเมนู นั่นคือ Toruko Rice หรือ ข้าวตุรกีครับ
ข้าวตุรกีอาจไม่ใช่เมนูที่รู้จักกันแพร่หลาย หรือโด่งดังเท่าจัมปงและเมนูอื่น ๆ ของจังหวัด แต่มันก็เป็นเมนูที่มีความพิเศษ จนเป็นอีกหนึ่งเมนูเอกลักษณ์ของนางาซากิ แม้ชื่อจะมีคำว่าตุรกี แต่มันไม่มีความเกี่ยวข้องหรือต้นกำเนิดจากตุรกีเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับข้าวผัดอเมริกันของไทย ที่ไม่ได้มาจากสหรัฐอเมริกา
Toruko Rice เป็นอาหารที่หากินได้ง่าย ถูกใจใครหลายคน เพราะเมนูนี้มีทั้งข้าว ทั้งเส้นพาสต้า ให้ได้เพลิดเพลินและอิ่มท้อง ส่วนส่วนประกอบหลักของมันคือ เส้นพาสต้า มักจะเป็นสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศ เสิร์ฟมาพร้อมข้าว (ดั้งเดิมต้องเป็นข้าวพิลาฟ) โปะด้วยเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอด และราดซอส โดยมีสลัดเป็นเครื่องเคียง ทั้งหมดรวมกันอยู่ในจานเดียว ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนจนมีหลายเวอร์ชั่น เช่น ซอสพาสต้าเป็นครีมซอส หรือเนื้อสัตว์ที่มีให้เลือกตั้งแต่ไก่ หมู เนื้อวัว ปลา กุ้ง ไปจนถึงซอสที่ราดมา ทั้งซอสแกงกะหรี่ ซอสเดมิกลาส ไวท์ซอส และอีกมากมาย เชื่อกันว่าสาเหตุที่มันถูกเรียกว่าข่าวตุรกี เพราะว่าในจานมีทั้งข้าวที่เป็นตัวแทนของชาวตะวันออก และเส้นพาสต้าที่เป็นตัวแทนอาหารตะวันตก เหมือนที่ประเทศตุรกีตั้งอยู่ระหว่างทวีปเอเชียและยุโรปนั่นเองครับ
ด้วยความหลากหลายที่อยู่ในจานเดียวกันแบบนี้ จึงทำให้มันเป็นเมนูที่กินได้ไม่เบื่อ เพราะเราสามารถจับคู่อาหารในจานกินด้วยกันได้ หรือเวลาสั่งแต่ละครั้งเราสามารถเปลี่ยนเปลี่ยนเนื้อสัตว์ เปลี่ยนซอสได้
และหากใครที่ต้องการลิ้มรส Toruko Rice อร่อย ๆ เราอยากแนะนำร้าน Tsuru Chan ให้รู้จักครับ ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในฐานะร้านอาหารสไตล์คาเฟ่ที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะคิวชู โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1925 ร้านนี้มี Toruko Rice หลากหลายเวอร์ชั่นให้เลือกสั่ง ทั้งแบบดั้งเดิม ที่มีพาสต้านาโปลิตัน หมูทอด ซอสแกงกะหรี่ ไปจนถึงเนื้อแกะบนข้าวพิลาฟและสปาเก็ตตี้จานใหญ่ ซึ่งเป็นเมนูที่ผู้เขียนชื่นชอบ
Tsuru Chan มีร้านเล็ก ๆ สองชั้น ที่ให้บรรยากาศอบอุ่น ในร้านตกแต่งด้วยภาพถ่ายและลายเซ็นของคนมีชื่อเสียงที่เคยมาเยือนร้านนี้ คู่ไปกับของเก่าที่ทางร้านเก็บไว้ ไปจนถึงป้ายประกาศกิจกรรมของเมืองตามช่วงเวลาต่าง ๆ ของปี เนื่องจาก Tsuru Chan เป็นร้านที่ได้ความนิยมมาก ทำให้หากมาตรงกับช่วงอาหารเที่ยงจะต้องรอนานพอสมควร และร้านไม่มีเก้าอี้ให้นั่งรอ ใช้วิธีต่อคิวแล้วเดินเข้าไปในร้านเรื่อย ๆ ช่วงที่เราเป็นช่วงเทศกาล ทำให้คิวยาวขึ้นไปอีก แต่รสชาติความอร่อยก็คุ้มค่ากับการรอครับ
นอกจาก Toruko Rice แล้ว Tsuru Chan ยังมีเมนูขึ้นชื่ออีกอย่าง เป็นของหวานชื่อว่า Nagasaki Milkshake (คนญี่ปุ่นจะอ่านว่า miruku se-ki) ที่ร้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของเมนูของหวานท้องถิ่นของนางาซากิเมนูนี้ด้วย เมนูนี้จะเอานมข้นหวานไปปั่นกับน้ำแข็งให้ออกมาเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด ตกแต่งด้วยเชอรี่สีแดงสดด้านบน เวลากินจะสัมผัสได้ถึงรสหวานและกลิ่นของนม ทำให้สดชื่นและเป็นการปิดท้ายมื้ออาหารได้ดี ทางร้านมีทั้งแบบ Half side และ Full side ครับ
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/inwMAWPrBR4L91kp8 เปิดบริการทุกวัน 10.00 – 21.00 น. สามารถนั่งรถรางมาลงสถานี Shiambashi แล้วเดินเข้าไปในซอยฝั่ง Arcade ได้เลย
ย้อนรอยเรื่องราวการค้าขายในยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ ที่ Dejima หน้าต่างสู่ตะวันตกเพียงแห่งเดียวในยุคเอโดะ
หากใครที่ชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องราวของญี่ปุ่น หลาย ๆ คน อาจรู้อยู่แล้วว่าในยุคเอโดะของญี่ปุ่น มีกฎหมายปิดประเทศที่เริ่มใช้ในปี 1635 ยาวนานสองร้อยกว่าปีจนถึงปี 1858 ที่มีการลงนามสัญญากับสหรัฐอเมริกาในปี 1858 เพื่อเปิดประเทศอีกครั้ง
โดยในระยะเวลาสองร้อยกว่าปีอันยาวนานนี้ ญี่ปุ่นมีหน้าต่างสู่ตะวันตกเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ นั่นคือท่าเรือของเมืองนางาซากิ ที่ทำการค้าขายกับชาวโปรตุกีสและชาวดัตช์ และเป็นเหตุผลให้เมืองนางาซากิได้รับวัฒนธรรมจากชาวตะวันตกที่มาค้าขายแลกเปลี่ยนโดยตรง
เมื่อเหล่าพ่อค้า นักเดินเรือเดินทางมาถึงนางาซากิเพื่อทำการค้าขาย การขนสินค้าขึ้นลงเรือก็ใช้เวลานาน บวกกับการเดินเรือสมัยนั้นใช้เวลานานมาก เมื่อเรือจอดเทียบท่าชาวตะวันตกที่มากับเรือก็จะพักผ่อนอยู่บนแผ่นดินระยะหนึ่งก่อนจะเดินเรือกลับ นั่นหมายถึงชาวตะวันตกเหล่านั้นต้องการที่อยู่ แต่เมื่อมีกฎหมายปิดประเทศ ทางการญี่ปุ่นจึงไม่ให้ชาวตะวันตกเข้ามาเดินในเมือง จึงมีการสร้างเกาะเทียมเป็นรูปพัดเล็ก ๆ เป็นที่พำนักให้กับชาวตะวันตก ชื่อของมันคือ Dejima
Dejima เป็นเกาะที่แยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่ มีทางเข้าออกทางเดียว ในยุคแรกเป็นที่พักของพ่อค้าชาวโปรตุกีส แต่หลังจากเหตุการณ์กบฏชิมาบาระในปี 1639 ที่มีชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์แบบลับ ๆ เข้าร่วมด้วย ทำให้พ่อค้าชาวโปรตุกีสถูกขับไล่จากเกาะ ก่อนที่พ่อค้าชาวดัตช์จะเข้ามาอาศัยแทนในปี 1641 ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดกว่าเดิม จึงเรียกได้ว่า ในยุคนั้นของที่มาจากญี่ปุ่นต้องมาจากพ่อค้าชาวดัตช์ ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นก็เรียนรู้วิทยาการของยุโรปจากชาวดัตช์เช่นกัน
เมื่อการปิดประเทศสิ้นยุคลง Dejima จึงถูกทิ้งร้าง และพื้นที่ที่เป็นเกาะเทียมตรงนั้นก็ค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับตัวเมืองนางาซากิที่มีการถมที่ทางทะเลเพื่อขยายเมืองในศตวรรษที่ 20 จนปัจจุบัน Dejima กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนางาซากิไปแล้ว แต่เนื่องจากเกาะนี้เป็นหนึ่งพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มันที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติในปี 1922 ทำให้ทางจังหวัดนางาซากิมีความพยายามฟื้นฟูอาคารและสถานที่แห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกาะนี้ รวมถึงแสดงความเป็นอยู่ของพ่อค้าชาวตะวันตกในช่วงเวลานี้ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม
ภายในเกาะ Dejima เราจะเห็นอาคารเก่าที่ได้รับการฟื้นฟู ทั้งบ้านพัก คลังเก็บของ สำนักงาน โบสถ์ นับ 10 หลัง แต่ละหลังจะมีการจัดแสดงข้อมูลที่ต่างกันไป เช่น บางหลังจะแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของพ่อค้าที่มาค้าขายที่นี่ บางแห่งจะเป็นส่วนจัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ บางแห่งก็เป็นอาคารเก่าให้เราได้เห็นโครงสร้างและฐานของอาคาร เราสามารถเดินดู เดินถ่ายรูปได้ตามชอบ เจ้าหน้าที่ของ Dejima ก็จะมีการแต่งตัวแบบทหารยามในยุคนั้นด้วย เข้ากับบรรยากาศมาก ๆ ถ่ายใครอยากถ่ายรูปกับเขาก็ได้เช่นกัน
ในเกาะยังมีคาเฟ่ Nagasaki International Club Dejima Restaurant สำหรับใครที่ยังไม่ได้กินข้าว ไว้บริการด้วยนะครับ เป็นห้องอาหารเก่าที่มีประวัติย้อนกลับไปได้ถึงปี 1903 นำมาปรับปรุงเป็นคาเฟ่ มีอาหารเป็นเซ็ตขาย ใครที่อยากกิน Nagasaki Milkshake ก็สามารถมาลองกินได้ที่นี่เช่นกัน หรือสาว ๆ หนุ่ม ๆ คนไหนอยากลองแต่งตัวในชุดญี่ปุ่นสวย ๆ เพื่อถ่ายภาพ ก็มีร้านเช่าชุดไว้บริการเช่นกันครับ
การฟื้นฟูเกาะ Dejima ของจังหวัดนางาซากิยังไม่หมดเท่านี้ เพราะมีการวางแผนในระยะยาวว่า จะทำการขุดคลองรอบเกาะนี้สี่ด้าน เพื่อให้มันเป็นเกาะรูปพัดแบบในอดีต ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาพื้นที่รอบ ๆ ขนานใหญ่ ทำให้กว่า Dejima จะฟื้นฟูเสร็จจริง ๆ ก็คงอีกนาน แต่แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เราได้เห็นและเรียนรู้เรื่องราวจากยุคนั้นได้มากแล้วครับ
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/2EcS4mxjCW6LSjDs7 เปิดให้เข้าชมทุกวัน 8.00 – 21.00 น. (ทางเข้าปิดตอน 20.40 น.) ค่าเข้าคนละ 520 เยน สามารถนั่งรถรางไปลงที่สถานี Dejima แล้วข้ามสะพานเดินมาอีกนิดจะถึงทางเข้าหลัก
เที่ยว Glover Garden ยามค่ำคืน ชมบ้านสไตล์ยุโรปจากยุคเมจิของชาวตะวันตกที่มีส่วนนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
เดินชมสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในยุคเอโดะกันไปแล้ว เราก็ขยับไปเรียนรู้เรื่องราวของนางาซากิจากยุคเมจิที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ และรับวัฒนธรรม เทคโนโลยีตะวันตกเพื่อมาพัฒนาประเทศกันบ้างครับ โดยสถานที่ที่บอกเล่าเรื่องราวนี้ได้ดีที่สุด คือ Glover Garden
Glover Garden มีลักษณะคล้าย Dejima คือ เป็นพิพิธภัณฑ์แบบเปิด ให้เราสามารถเดินในพื้นที่ได้อย่างอิสระ สวนนี้ตั้งตามชื่อของ Thomas Blake Glover (1838 – 1911) พ่อค้าชาวสก็อตติชที่มีส่วนช่วยในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในยุคเมจิ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขุดถ่าน การสร้างเรือ และอีกมากมาย โดยสวนและบ้านของ Glover นี้ ตั้งอยู่บนเนินที่สามารถมองเห็นวิวท่าเรือนางาซากิได้อย่างเต็มที่ และยังสามารถมองเห็นอู่ต่อเรือมิซูบิชิได้ด้วย ทางตัวเมืองได้รับบริจาคมาจากบริษัทมิซูบิชิในปี 1957 และในเวลาต่อมา บ้านสไตล์ยุโรปจากยุคเมจิอีก 6 หลังทั่วเมืองก็ถูกรื้อเพื่อนำมาประประกอบใหม่เป็นส่วนหนึ่งของ Glover Garden ในฐานะสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นในยุคเปิดประเทศ
นอกจากใน Glover Garden จะมีบ้านของคุณ Glover ที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านสไตล์ยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว ยังมี บ้านของ Frederick Ringer (1838 – 1907) พ่อค้าชาวอังกฤษ และบ้านของ William Alt (1840-1905) รวมถึงร้าน Jiyutei ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกร้านแรกของญี่ปุ่นจากสมัยเมจิ โดยเชฟ Jokichi Kusano ปัจจุบันกลายเป็นร้านคาเฟ่ที่เสิร์ฟ Dutch Coffee กาแฟที่สกัดแบบดัตช์รสเยี่ยมพร้อมกับเค้กหลากหลาย ไปจนถึงเครื่องดื่มน่าลิ้มลองมากมาย และของคาวอย่างสตูเนื้อที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
อีกหนึ่งความสวยงามของ Glover Garden คือดอกไม้นานาพันธุ์ที่ผลัดกันผลิบานตลอดทั้งปี ทั้ง 4 ฤดู ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความสวยงามเหมาะกับการมาถ่ายรูป ชมวิว และสัมผัสเรื่องราวประวัติศาสตร์ของนางาซากิ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวราวสองล้านคนมาเยี่ยมชมที่นี่ในแต่ละปี
Glover Garden ในบางช่วงเวลาของปี จะมีการเปิดให้เข้าชมตอนกลางคืนด้วย โดยจะมีการจัดแสดงไฟไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้ได้ชมและถ่ายรูป รวมถึงวิวที่มองเห็นจากสวนยามค่ำคืนก็สวยงามไม่แพ้กัน ปกติช่วงไฟกลางคืนที่คนนิยมไปมากที่สุดจะเป็นในฤดูหนาวครับ หากใครไปช่วงเดือนพฤศจิกา – ธันวา ช่วงกลางคืนของสวนแห่งนี้จะคึกคักมากทีเดียว
บริเวณใกล้ ๆ กับ Glover Garden ยังมีโบสถ์ Oura ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอยู่ด้วย โบสถ์นี้ถูกสร้างในปี 1864 ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวและของต่าง ๆ เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น และยังมีพิพิภัณฑ์ Former Hong Kong & Shanghai Bank Nagasaki Branch Museum และ Gunkanjima Digital Museum (สำหรับใครที่อยากชมเกาะเรือรบแบบไม่มีเวลานั่งเรือไปเกาะจริง) รวมถึงหากใครหิวยังมีร้าน Shikairou ร้านที่เป็นต้นกำเนิดของจัมปง เมนูดังของจังหวัดด้วย
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/P2EGydTtm3LoqYYU6 เปิดให้เข้าชมทุกวัน 8.00 – 18.00 ค่าเข้าคนละ 620 เยน ส่วนการเปิดเข้าชมกลางคืนให้ติดตามจากหน้าเว็บไซต์ สามารถนั่งรถรางมาลงสถานี Oura Cathedral แล้วเดินตามป้ายขึ้นเนินมาได้เลย
ชมวิวยามค่ำคืนที่จุดชมวิวบนเขาอินาสะ หนึ่งในจุดชมวิวกลางคืนที่สวยติดอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการไปชมวิวตอนกลางคืนของเมืองนางาซากิ บนจุดชมวิวกลางคืนที่ได้ชื่อว่าสวยติดอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น และสวยที่สุดของตัวเมืองนางาซากิ นั่นคือ จุดชมวิวบนเขาอินาสะ (หรือ อินาสะยามะ)
ภูเขาอินาสะมีความสูง 333 เมตร ข้างบนเขามีจุดชมวิวและดูดาวแบบ 360 องศา ร้านอาหาร ที่นั่งพัก ที่นี่มีคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาวขึ้นไปไม่ขาดสาย สามารถขึ้นชมได้ทุกฤดูโดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวที่ข้างบนอากาศเย็น เป็นอีกหนึ่งจุดเดทของคนนางาซากิครับ หากวันไหนฟ้าเปิด อากาศดี ๆ นอกจากจะเห็นวิวเมืองแล้ว ยังสามารถเห็นได้กว้างไกลไปถึงเกาะโกโตะ (เกาะเล็ก ๆ ในเขตการปกครองของจังหวัดนางาซากิ) เลยทีเดียว โดยปกติแล้วคนจะขึ้นมาชมวิวตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ไปจนถึงช่วงกลางคืน ส่วนในฤดูร้อนก็จะมีคนขึ้นไปรอชมการยิงดอกไม้ไฟจากเทศกาลฤดูร้อนครับ
เนื่องจากภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ไกลตัวเมือง และมีความสูงที่เหมาะสม บนยอดเขาจึงมีเสาสัญญาณและจานดาวเทียมทีวีและวิทยุสำหรับเมืองนางาซากิอยู่บนนี้ด้วย ในวันที่อากาศดี ๆ หากมองขึ้นมาจากตัวเมืองก็จะสามารถเห็นไฟจากเสาสัญญาณเหล่านี้ได้เช่นกัน
สำหรับการขึ้นมายังจุดชมวิวสามารถขึ้นมาได้หลายทาง แต่ถ้าให้เราแนะนำ ขอแนะนำว่าให้ขึ้นกระเช้ามาดีกว่า เพราะสะดวกและรวดเร็ว โดยจุดขึ้นกระเช้าอยู่ที่ศาลเจ้า Fushi ที่เราแนะนำเพิ่มเติมว่าถ้าใครเดินไม่ไหวให้เรียกแท็กซี่มา เพราะเดินไกลจากสถานีรถรางที่ใกล้ที่สุดพอสมควร (ราว 15 – 20 นาที) ค่าขึ้นกระเช้าไป – กลับ อยู่ที่ 1250 เยน รถจะมีรอบทุก ๆ 15 – 20 นาที เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 – 22.00 น. เลยครับ หากมาตอนกลางวันก็จะเห็นวิวเขาและสีสันของพืชพันธุ์บนเขา หากมากลางคืนก็จะเห็นวิวแสงไฟยามค่ำคืน
วันที่เราไป เนื่องจากมีฝนตกช่วงเช้า ทำให้มีความชื้นสูง บนเขาจึงมีเมฆและหมอกลอยต่ำ พร้อมกับละอองน้ำค้าง เมื่อรวมกับลมบนเขาที่แรงมาก ทำให้อากาศข้างบนค่อนข้างหนาว แต่รวม ๆ คือ หากใครมาหน้าหนาว ควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยจะดีที่สุดครับ
พิกัด: https://maps.app.goo.gl/GXMitG8wdjSnqWcu5 เปิดบริการทุกวัน 9.00 – 22.00 น. ค่าขึ้นกระเช้าไป – กลับ อยู่ที่ 1250 เยน
ทริปนี้ของผู้เขียน เนื่องจากมาตรงช่วงเทศกาล ทำให้บริษัทเดินเรือที่จะไปเกาะเรือรบงดให้บริการ ซึ่งก็น่าเสียดาย เพราะคนร่วมทริปกับผู้เขียนบางคนยังไม่เคยได้ไป ส่วนผู้เขียนนั้นเคยได้ไปเยือนแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวของอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจังหวัดนี้ ก็มีบทความให้ได้อ่านกันครับ และนอกจากสถานที่ที่เราได้เขียนถึงในบทความทั้งสองตอนแล้ว หากใครมีเวลาเพิ่ม ก็อยากให้ไปสะพานแว่นตาที่ย่าน China Town และไปสักการะศาลเจ้าสุวะที่เป็นศาลเจ้าใหญ่ของเมืองด้วยครับ
สำหรับตอนหน้าที่จะเป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์ MenDetails x Nagasaki และเป็นจุดสิ้นสุดของทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปเยือนเมือง Sasebo อีกหนึ่งเมืองของจังหวัดนางาซากิ ที่มีสวนสนุก Huis Ten Bosch สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชูครับ จะยิ่งใหญ่แค่ไหน รอติดตามกันได้เลย