โลกของ Internet และ Social Network ในยุคปัจจุบัน ทำให้การเข้าถึงบทความประเภท ‘How to’ นั้น ง่ายดาย และแพร่หลายมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บทความประเภท How to ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งกายและบุคลิกภาพของผู้ชายนั้น ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด บรรดาสารพัดเวบไซต์ และ facebook page ที่เกี่ยวกับผู้ชายก็จะคอยนำเสนอบทความดีๆ เหล่านี้ให้เราได้อ่านกันเป็นประจำ
แต่มีบทความประเภทหนึ่งที่มักจะถูก “ค่อนขอด ถากถาง” กันอยู่เนืองๆ จากผู้อ่าน นั่นคือบทความประเภท “กฎเกณฑ์การแต่งตัว” ประมาณว่า “ผู้ชายไม่ควรสวมใส่สิ่งนั้น และควรหันไปใช้อย่างอื่น จึงจะดูดีมีสไตล์” ซึ่งเนื้อหาคำแนะนำอาจไม่ถูกต้องและอาจไม่ตรงกับสไตล์ของผู้อ่าน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เวบไซต์เหล่านี้กำลัง “ยัดเยียด” ความคิดเห็นอันคับแคบของตัวเองให้กับผู้อ่าน และผู้ชายไม่ควรที่จะใส่ใจกับบทความขยะแบบนี้ ใครจะมีสไตล์แบบไหนก็มีไป ถ้าไม่หนักหัวใคร ก็ไม่ต้องสนใจใคร
ความคิดเห็นเช่นนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ MenDetails ขออนุญาตนำเสนอบทความนี้เพื่อที่อย่างน้อยได้ลองเสนอคำตอบบางส่วนสำหรับคำถามที่ว่า ผู้ชายควรจะใส่ใจกับกฎเกณฑ์ในการแต่งกายที่ผู้อื่นหวังดีว่าจะทำให้เราดูดีขึ้นกว่าเดิม หรือควรจะกอดสไตล์ของตัวเองไว้ ไม่ต้องใส่ใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น เราแต่งตัวของเรา ไม่ได้เดือดร้อนใครและไม่ได้ไปหนักหัวใคร ทำไมต้องสนใจกฎเกณฑ์ที่คนอื่นเสนอมาด้วยล่ะ?
แล้วคุณล่ะ คิดแบบไหนกันบ้างครับ?
กฎเกณฑ์เป็นเรื่องธรรมดาของ “มนุษย์”
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความซับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตและสัตว์ชนิดอื่น มนุษย์จึงมีการพัฒนาอารยธรรมและประเพณีวัฒนธรรมกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน กฎระเบียบขั้นตอนและแบบแผนต่างๆจึงเกิดขึ้นมาก็เพื่อให้มนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข บางกฎก็เป็นสิ่งที่จำเป็น แบบไม่มีไม่ได้เลย เช่น กฎหมายที่ปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไล่ลงไปจนถึงบางกฎระเบียบที่หยุมหยิมเล็กๆน้อยๆ แบบไม่รู้จะมีให้มากความไปทำไม เช่น เราไม่ควรขยี้ซิการ์เพื่อดับไฟเพราะจะทำให้มีกลิ่นเหม็นรบกวนคนอื่นในห้องสูบซิการ์ เป็นต้น
ติดกระดุมสูททั้งสองเม็ดแบบนี้ขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือว่าทำผิดกฎ ‘หยุมหยิม’ ของการใส่สูทอยู่เช่นกัน
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและวิธีการแต่งตัวก็เป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเช่นกัน จุดประสงค์แรกสุดของมันก็คือการเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้ห่มคลุมร่างกายเพื่อปกปิดของสงวนอันไม่เหมาะสมที่จะโชว์ในที่สาธารณะ (ซึ่งเรื่องความไม่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่มนุษย์บัญญัติกันขึ้นมาเองว่าอวัยวะเพศ และหน้าอกหน้าใจของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะจะโชว์ให้ธารกำนัลได้เห็น แม้มันจะเป็นของที่ธรรมชาติสร้างขึ้นก็ตาม) นานวันผ่านไป ความเจริญทางด้านวัฒนธรรมได้ทำให้ “เสื้อผ้า” สนองจุดประสงค์ด้านอื่นของมนุษย์เพิ่มเติม เช่น ช่วยตกแต่งร่างกายให้เราดูดีขึ้น หล่อขึ้น สวยขึ้น และดูมีมารยาทและมีกาลเทศะมากขึ้น เป็นต้น ถึงขั้นที่มีสุภาษิตว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ให้เราได้ยินกันมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นกฎเกณฑ์ต่างๆบนโลกเราใบนี้จึงเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่มีความเจริญและมีอารยะมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นนั่นเอง
credit | hespokestyle.com
กฎเกณฑ์การแต่งกายมีความจำเป็นแค่ไหน?
ถ้าจะถามว่า “จำเป็นไหม?” ที่เราจะต้องเอาใจใส่ในการแต่งตัวให้ดูดี ให้มีสไตล์ ศึกษากฎเกณฑ์ว่าอะไรควรใส่หรืออะไรไม่ควรใส่อยู่เสมอ คำตอบของเราคือ “ไม่จำเป็นเสมอไปครับ” เพราะเป้าหมายพื้นฐานที่สุดของเสื้อผ้าก็คือแค่ “กันอุจาดตา” เท่านั้น ดังนั้นขอแค่คุณมีเสื้อผ้าที่ปิดบังของสงวนของคุณได้ เท่านี้ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนลูกนัยน์ตา คุณก็ดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติต่อไป
แต่คำตอบจะเปลี่ยนไปถ้าคุณเป็นผู้ชายที่ตระหนักว่า การพัฒนาบุคลิกภาพผ่านการแต่งกายของคุณนั้น “มีอิทธิพล” ต่อความรู้สึกและการรับรู้ของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายด้วยกัน หรือผู้หญิงที่เป็นเพศตรงข้าม การแต่งกายที่ดีอาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือ, สภาวะการทำงาน, การเจรจาธุรกิจ หรือการจีบสาวที่เราหมายปอง ความจำเป็นของการแต่งกายให้ดูดีนั้นจะเพิ่มมากขึ้นตามอิทธิพลของมัน นั่นหมายถึงการที่คุณควรจะต้องรู้จักและศึกษาว่า อะไรที่ควรใส่ หรืออะไรที่ไม่ควรใส่ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งนั่นเองครับ
ดังนั้นกฎเกณฑ์การแต่งกายให้ดูดี ดูน่าเชื่อถือ ดูเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกภาพที่ดีนั้น จะจำเป็นสำหรับคุณมากน้อยขนาดไหน ขึ้นอยู่กับตัวคุณว่า คุณเล็งเห็นอิทธิพลของการแต่งกายของตัวเองมากแค่ไหน และมันจะกระทบต่อการดำรงชีวิตคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าหลังจากที่พิจารณาวิถีชีวิตของตัวเองแล้วพบคำตอบว่า คุณไม่ได้แคร์แต่อย่างใด และคงไม่มีวันที่จะต้องแคร์ด้วย เช่นนั้นแล้วกฎเกณฑ์หรือวิธีการแต่งกายให้ดูดีนั้นย่อมไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นสำหรับคุณ คุณสามารถแต่งตัวอย่างไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ในสถานการณ์ใดก็ได้ ตามใจและตามสไตล์ของตัวเองได้เต็มที่ครับ
กฎเกณฑ์ของการแต่งกายให้ดูดี VS สไตล์ใคร สไตล์มัน ‘เรื่องของ Gu’
ทุกครั้งที่ MenDetails เขียนและนำเสนอบทความที่เกี่ยวกับ “กฎ” หรือ “หลักเกณฑ์” ในการแต่งกายต่างๆของผู้ชาย อย่างเช่น 3 สิ่งที่ผู้ชายควรเลิกใส่ หรือ 5 สิ่งที่ผู้ชายในวัย 20 ปีขึ้นไปควรเลิกใช้ เป็นต้น เราจะได้รับความคิดเห็นที่ค่อนข้างหลากหลายในเชิงไม่เห็นด้วยเสมอ เหตุผลสำคัญที่สุดของข้อโต้แย้งก็คือ “แต่ละคนมีสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน เราไม่ควรเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่าแบบนี้ควรใส่ หรือแบบนั้นไม่ควรใส่” ซึ่ง MenDetails ขอเรียนตามตรงว่าเราเห็นด้วย กับความคิดแบบนี้ และเราเองก็สนับสนุนให้ผู้ชายทุกคนค้นหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ
“แต่ว่า” มันมีข้อแม้บางๆในเรื่องนี้ที่กั้นอยู่ตรงกลางระหว่าง “ผู้ชายที่รู้จักปรับตัวและพัฒนาตัวเอง” กับ “ผู้ชายที่เชื่อในสไตล์ของตัวเองแบบถึงแก่น”
MenDetails ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือ หากผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่แต่ เสื้อยืดมีโลโก้หรือลายการ์ตูนตัวใหญ่ กับกางเกงขาสั้นสามส่วนมาทั้งชีวิต ซึ่งเขาก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติและเขาก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการแต่งกายเป็นอย่างอื่นเลย เพราะเขายึดมั่นว่านี่คือสไตล์ส่วนตัวของเขา ที่เขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน อยู่มาวันหนึ่งเขามีธุระที่จะต้องไปร่วมงานพิธีการสำคัญบางอย่างและจำเป็นที่จะต้องใส่ “สูท” เพื่อความสุภาพ ตัวเขาจะทำอย่างไร เขาจะมีความรู้ที่มากพอที่จะเลือกใส่สูทให้เหมาะสมหรือไม่ เขาอาจไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น แต่สุดท้ายการใส่สูทด้วยความไม่รู้ของเขาก็ออกมาดูไม่ดีจนทำลายบุคลิกภาพของเขาไปอย่างน่าเสียดาย
ตัดมาที่ผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งอาจจะมีสไตล์ปกติที่ใกล้เคียงกันกับคนแรก แต่แตกต่างตรงที่เขาเป็นผู้ชายที่ “รู้จักปรับตัว” และหาความรู้ในเรื่องสไตล์การแต่งตัวแบบอื่นๆ ที่เป็นสากล ตามหลักของสุภาพบุรุษที่ทั่วโลกกระทำกัน “เผื่อว่า” ในวันหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้ เขาก็สามารถที่จะปรับใช้สไตล์เหล่านั้นให้เข้ากับตัวเองได้ โดยที่ไม่เคอะเขิน และไม่ทำแบบ “ผิดๆถูกๆ”
ถ้าเราจะต้องเลือกเป็นคนใดคนหนึ่ง ระหว่างผู้ชายที่มีสไตล์เป็นตัวของตัวเอง 2 คนนี้ MenDetails อยากให้คุณเป็นผู้ชายแบบที่สอง มากกว่าแบบแรกนะครับ
คนที่มีบุคลิกภาพและการแต่งกายคล้ายๆกัน จะดึงดูดเข้าหากัน (รวมถึงสาวๆ ที่ชอบสไตล์คล้ายๆ กันกับคุณด้วย)
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่คิดไปเอง เพราะมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ช่วยรองรับ ว่ากันตามตรง ผู้ชายเรามักจะคบหาหรือเป็นเพื่อนกับคนที่มีอุปนิสัยใจคอคล้ายๆกัน พฤติกรรมใกล้เคียงกัน และแน่นอนนั่นย่อมส่งผลให้บุคลิกภาพและการแต่งกายนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะต่างกันบ้างในรายละเอียดแต่ก็ยังคงอยู่ในสไตล์คล้ายๆกันครับ
ผู้ชายที่ไม่สนใจแฟชั่น ไม่เอาใจใส่การแต่งตัว และไม่แคร์ว่าใครจะคิดอย่างไร ก็จะมีสังคมแบบหนึ่งที่รวมกลุ่มผู้ชายที่คิดคล้ายๆกัน และก็จะดึงดูดผู้หญิงในแบบที่นิยมชมชอบผู้ชายที่ไม่แคร์เรื่องการแต่งกาย และไม่จำเป็นต้องดูแลบุคลิกภาพของตัวเองเท่าไหร่นัก
ผู้ชายที่แต่งกายแนว Hip-Hop หรือแนว Street Style เน้นกางเกงยีนส์ หรือ กางเกง Joggers และรองเท้าผ้าใบเท่ๆ ก็จะดึงดูดผู้ชายที่มีสไตล์คล้ายๆกันให้มารู้จักกัน และแน่นอนผู้หญิงที่เรามีโอกาสประสบพบเจอก็จะอยู่ในแวดวงที่ชอบแฟชั่นประเภทนี้เหมือนๆกัน
ส่วนผู้ชายที่แต่งกายเนี้ยบ สามารถสวมสูทผูกไทได้อย่างไม่เคอะเขิน รู้จักการแต่งกายตามแบบ dresscode ด้วยรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับในสากลได้อย่างถูกต้องและมีสไตล์ที่เนี้ยบเป็นของตัวเอง ย่อมจะดึงดูดผู้ชายที่มีรสนิยมคล้ายๆกัน และคุณก็จะพบเจอพูดคุยกับหญิงสาวที่แต่งตัวเนี้ยบ,โฉบเฉี่ยว และเป็นสาวทำงานยุคใหม่ที่มีความเอาใจใส่การแต่งกายคล้ายๆกับคุณเช่นกัน
ตัวอย่างข้างต้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน 100% และจะเป็นเช่นนี้ “เสมอไป” แต่เรียนตามตรงว่าความเป็นไปได้นั้นมีสูงมาก เพราะการดึงดูดคนที่ “มีรูปแบบตรงข้ามกัน” นั้นมักเกิดขึ้นได้ยาก ตัวอย่างเช่น หากเราแต่งตัวแบบ “ผู้ชายสายแว้น” เราก็จะได้รู้จักและมีโอกาสจีบ “ผู้หญิงสายสก๊อย” มากกว่าที่จะมีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงสาย Hipster ผู้รักการดื่มกาแฟ หรือสาวออฟฟิศนักธุรกิจมาดดี อย่างนี้เป็นต้น
MenDetails ไม่คิดตัดสินว่าสิ่งใดหรือแบบไหนดีกว่ากัน แต่สิ่งที่เราพอจะสรุปได้ก็คือ หากคุณต้องการที่จะมีโอกาสได้รู้จักคนแบบไหน หรือจีบผู้หญิงประเภทใด, บุคลิกภาพแบบไหน, แต่งตัวแบบใด, ในสถานะใด การแต่งกายของคุณคือ “ส่วนหนึ่ง” ที่ส่งผลทางอ้อมให้คุณได้มีโอกาสพบเจอกับคนที่มีบุคลิกแบบนั้นเข้ามาหาตัวคุณมากขึ้นครับ
บทสรุป
MenDetails ยังคงเชื่อว่าผู้ชายทุกคนควรที่จะมี “สไตล์” การแต่งกายที่เป็นตัวของตัวเองและไม่จำเป็นต้องตามใคร แต่ในขณะเดียวกันเราควรที่จะฟังคำแนะนำของคนอื่นมาปรับใช้กับตัวเองบ้าง โดยเฉพาะสำหรับผู้ชายที่รู้ตัวว่า การแต่งกายและบุคลิกภาพที่ดีของตัวเองนั้น มีอิทธิพลต่อสถานะ, ความก้าวหน้า และการพัฒนาในชีวิต MenDetails อยากให้ผู้ชายที่กำลังอ่านอยู่ถึงตรงนี้ อย่างน้อยแยกให้ออกว่า “การมีสไตล์เป็นตัวของตัวเอง” กับ “การยึดมั่นถือมั่นในสไตล์ของตัวเองไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” นั้นแตกต่างกัน
ผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษที่ดีนั้น ต้อง “รู้จักปรับตัว” และ “พัฒนาตัวเอง” อยู่เสมอ รวมถึงเรื่องของการแต่งกาย แม้ความรู้ใหม่สำหรับการแต่งกายดีๆนั้น อาจจะไม่ถูกใจ และไม่ได้ตรงตามสไตล์ของตัวเราเองแบบ 100% ก็ตาม แต่การเรียนรู้สไตล์การแต่งกายที่ดีที่เป็นสากลของผู้ชาย อย่างน้อยทำให้เราเข้าใจการปรับเปลี่ยนการแต่งกายของตัวเองให้ถูกต้องตามโอกาส, กาลเทศะ และสภาพสังคมที่เราต้องประสบพบเจอ ประเด็นสำคัญจริงๆสำหรับเรื่องนี้อยู่ตรงที่คุณภาพของคำแนะนำ ว่ามีความน่าเชื่อถือ และจะทำให้เราดูดีมีสไตล์ขึ้นได้จริงๆหรือเปล่า หากพิจารณาดูแล้วเป็นคำแนะนำที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ อ่านดูแล้วไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผล เราก็ไม่ต้องไปสนใจให้เมื่อยแค่นั้นเองครับ
ท้ายที่สุดคืออย่าไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นสไตล์เฉพาะตัวของตัวเองมากเกินไปจนถึงขั้นสะกดจิตตัวเองว่า “นี่คือสไตล์เรา เราจะแต่งอย่างนี้ใครจะทำไม มันไปหนักหัวใคร”
เราหวังว่าบทความยืดยาวชิ้นนี้น่าจะช่วยให้ผู้ชายได้ฉุกคิดและคำนึงถึงการแต่งกายของตัวเองกันให้มากขึ้น นั่นก็เพราะ MenDetails ต้องการให้ผู้ชายที่ได้อ่านและติดตามพวกเรานั้น “เป็นสุภาพบุรุษที่ดีขึ้นกว่าเดิม” กันทุกคนครับ