เมื่อพูดถึงนาฬิกาที่มีความทนทานสูง เราเชื่อว่า G-SHOCK ต้องเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนนึกถึงเป็นชื่อแรก ๆ ซึ่งล่าสุดภายในงานเปิดตัวนาฬิกา ‘G-SHOCK MRG-B5000 KIWAMI’ MenDetails ได้มีโอกาสเข้าร่วมการสัมภาษณ์ทางออนไลน์กับคุณ Kikuo Ibe (คิคุโอะ อิเบะ) ผู้ให้กำเนิดแบรนด์ หรือที่โด่งดังจากในชื่อ Father of G-SHOCK โดยคุณอิเบะจะพาเราทุกคนไปดูการทดสอบอันหลากหลายในด้านความแข็งแกร่งและทนทาน เพื่อให้มั่นใจว่านาฬิกา G-SHOCK รุ่นที่กำลังพัฒนาพร้อมออกสู่ตลาดครับ
39 ปีแห่งการเดินทางของ G-SHOCK
กับคติ Never Give Up ของ คุณ Kikuo Ibe
เดิมที ความตั้งใจแรกในการผลิตนาฬิกาที่มีความทนทานมาก ๆ เริ่มต้นจากมองงาน Labour เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยตัวเรือนของ G-SHOCK จะทำจากเรซิน มีความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อดีเรื่องมีสีให้เลือกได้หลากหลายเลยทำให้ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น ขยับไปยังฝั่ง Street Culture และวัยรุ่นก็ให้ความนิยมในที่สุด
คุณอิเบะออกแบบโดยมองว่า สไตล์ที่เรียบง่าย ไร้กาลเวลา (Timeless Design) นั้นเป็นสไตล์ที่มีเสน่ห์ สำหรับดีไซน์รุ่นแรก ๆ ที่หน้าปัดสี่เหลี่ยมของ G-SHOCK มีความน่าสนใจตรงที่สามารถทาบวางแล้วตรงกับสัดส่วนของสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio/Spiral) ซึ่งจะทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกว่ามันดูสวยงาม นำสายตาไปยังจุด ๆ หนึ่งได้ดีและมีความลงตัวแบบเป็นธรรมชาติ
ในช่วงเวลาที่ G-SHOCK ได้รับความนิยมในวัยรุ่นมาก มีคนรู้จักเยอะแล้ว คุณอิเบะก็รู้สึกว่า จำเป็นต้องมีรุ่นที่ใส่แล้วเปลี่ยนความรู้สึกไปจากเดิมบ้าง เลยออกแบบจนกลายมาเป็น Full Metal ซึ่งพอมาเล่าตอนนี้ที่มีนาฬิการุ่น Metal อยู่มากมายหลายรุ่น อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่คุณอิเบะกล่าวว่า “ในตอนแรกที่อยากใช้ Metal มาทำนาฬิกาทั้งเรือน แต่ยังต้องรักษาคอนเซปต์ของความคงทนแข็งแรงไว้นั้นก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่ผมก็ไม่ได้ขีดเส้นจำกัดกับเพื่อนร่วมงาน จนส่งผลให้ผลิต Full Metal G-SHOCK สำเร็จได้ในปี 1996 ครับ” นอกจากนั้นก็ยังเสริมว่า “ผมว่าจุดนี้เองก็ถือเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึก Never give up” อีกด้วย
“จากจุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาถึง 39 ปีแล้ว ผมดีใจเป็นอย่างมากที่สไตล์และคอนเซปต์จากนาฬิการุ่นแรกได้ถ่ายทอดจนออกมาเป็น G-SHOCK Origin รุ่นสูงสุด หรือก็คือเรือน MRG-B5000 ที่เป็นงาน Metal Art รุ่นใหม่ในวันนี้”
กว่าจะกลายเป็นนาฬิกา G-SHOCK ที่สมบูรณ์แบบ
การสัมภาษณ์ทางออนไลน์กับ คุณ Kikuo Ibe ในครั้งนี้ เขาได้พาเราไปชมห้องทดลองที่กรุงโตเกียวด้วยว่าห้องทดลองจริงเป็นอย่างไร และทำให้ได้รู้ว่า G-SHOCK ทุกรุ่น จะต้องผ่านการทดสอบเกือบ 200 หัวข้อในด้านความแข็งแรงทนทานให้หมดทุกหัวข้อก่อนจะเข้าสู่รายการผลิตนาฬิการุ่นนั้นออกมาสู่ตลาด
เริ่มต้นด้วยการทดสอบ Water Resistance ก็จะนำนาฬิกาไปแช่ในน้ำ และมีเครื่องมีในการกดปุ่มนาฬิกาอยู่รอบทิศ ทดสอบว่าเมื่อนาฬิกาอยู่ในน้ำ นาฬิกาจะพังไหมหรือยังสามารถกดปุ่มใช้งานใด ๆ ได้หรือไม่ โดยมีทั้งทดสอบในน้ำเปล่าและน้ำโคลน อย่างโคลนก็มีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปแซะจากซอกปุ่มนาฬิกาจนทำให้เสียหายได้ แต่ในขณะที่ทดสอบก็จะยังเห็นว่าปุ่มของ G-SHOCK สามารถทำงานได้ตามปกติ เรียกได้ว่าไม่กลัวโคลนเลยทีเดียว
ถัดมาก็ทดสอบการกันกระแทกของนาฬิกา เครื่องมือที่ใช้ คือ ค้อนเหล็กที่มีน้ำหนักถึง 5 กิโลกรัม โดยใช้ค้อนที่จัดวางในลักษณะลูกตุ้ม ปล่อยค้อนให้ตีกระแทกเข้าไปตรงนาฬิกาที่วางเอาไว้เพื่อทดสอบว่านาฬิกายังสามารถทำงานได้ดีอย่างเดิม สุดท้ายการทดสอบที่คุณอิเบะพาเราไปดู คือ ทดสอบด้วยการปล่อยให้นาฬิกาตกจากที่สูง และก็พบว่าไร้รอยขีดข่วน รวมถึงยังทำงานอยู่ “Still Working!” คำพูดติดปากของคุณอิเบะที่มักจะพูดเสมอ เวลาที่ทดสอบความทนทานของ G-SHOCK สำเร็จ และแน่นอนว่า MRG-B5000 KIWAMI รุ่นใหม่นี้ก็ผ่านการทดสอบทุกหัวข้อมาหมดแล้ว
G-SHOCK MRG-B5000 KIWAMI ใช้ First Origin เป็นต้นแบบ
นาฬิการุ่นใหม่ G-SHOCK MRG-B5000 KIWAMI เป็นเรือนที่หยิบหน้าปัดออริจินรุ่นแรกมาเป็นต้นแบบ โดยคุณอิเบะเล่าว่า “จุดที่ผู้วิจัยและพัฒนานั้นเผชิญความยากลำบากที่สุด คือ การทำรูปร่างนาฬิกาแบบเรซิน แต่จริง ๆ วัสดุใช้ Metal”
จุดเด่นของ MRG-B5000 อยู่ที่ความสมบูรณ์แบบของอะไหล่ทุกชิ้น ใช้วิธีการออกแบบชิ้นส่วนของตัวเรือนแบ่งเป็น 25 ชิ้น ซึ่งข้อดีของการที่แบ่งชิ้นส่วนออกเป็นหลายชิ้นจะทำให้สามารถขัดชิ้นส่วนทุกชิ้นได้อย่างพิถีพิถัน นอกจากนั้นในส่วนโครงสร้างรองรับการกระแทกก็มีการออกแบบใหม่ เรียกว่า Multi-Guard Structure ส่วนสายนาฬิกาประกอบด้วยโครงพิเศษที่มีหมุดแยกออกจากกันฝังอยู่ในทุกรูทรงกลมของข้อสายโลหะ โดยรุ่นนี้มาด้วยกันทั้งหมด 2 สี คือ สีดำและสีเงินครับ
ในส่วนที่โดดเด่น นอกจากหน้าปัดดีไซน์ Origin คุณอิเบะมองว่า การแบ่งชิ้นส่วนออกเป็น 25 ส่วนนี่แหละคือไฮไลท์ครับ เนื่องจากแต่ละส่วนสามารถขัดถูได้อย่างละเอียด มีความละเมียดละไมในผลงาน นอกจากนั้นยังไม่ต้องกลัวจะพัง สามารถใช้ได้ยาว ๆ แบบไม่ต้องเปลี่ยนถ่านด้วย นี่ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เป็นความภูมิใจของคุณอิเบะ
สุดท้ายคุณอิเบะเล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เรื่อง Kiwami ขึ้นมา โดยอธิบายว่า คำว่า 極み แปลว่า ที่สุด / สุดขีด มีความหมายแฝงว่าทุกองค์ประกอบที่เลือกนำมาใช้ในการผลิตเรือนนี้ ทั้งการประกอบ งาน Craftmanship ต่าง ๆ เป็นงานที่ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ สื่อถึงความพยายามในฐานะคนญี่ปุ่นครับ
สุดท้ายนี้ ถือเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่ได้ชมการทดสอบความทนทานของนาฬิกา G-SHOCK โดย Father of G-SHOCK เป็นคนจัดการด้วยตัวเองครับ และในอนาคต คุณ Kikuo Ibe ก็ได้บอกเล่าถึงความตั้งใจว่ายังคงอยากนำ Culture ต่าง ๆ หรือความเป็นคนญี่ปุ่นใส่ลงไปในนาฬิกาแต่ละรุ่นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ส่วนใครที่เป็นแฟนของนาฬิกา G-SHOCK Origin ก็คงต้องบอกว่าน่าจะถูกใจรุ่น MRG-B5000 เรือนนี้กันไม่น้อยเลยล่ะครับ