หากใครที่เติบโตมากับอนิเมะญี่ปุ่น เกมญี่ปุ่น ไปจนถึงภาพยนตร์ ซีรีส์ น่าจะเคยเห็นการที่ผู้ชายมอบของขวัญตอบแทนหญิงสาวในวันที่ 14 มีนาคม นับเป็นเวลา 1 เดือนหลังจากวันวาเลนไทน์ ที่ในวันวาเลนไทน์นั้นผู้หญิงจะเอาช็อคโกแลตแทนใจ (ต่างจากที่มอบให้ตามมารยาท) เรียกกันว่า Honmei Choco มามอบให้ฝ่ายชาย โดยวันที่ 14 มีนาคมนี้ มีชื่อเรียกในประเทศญี่ปุ่นแบบเก๋ ๆ ว่า White Day
วันไวท์เดย์ถือเป็นวัฒนธรรมการมอบช็อกโกแลตหรือการสารภาพรักที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น ที่แปลก ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ซึ่งก็มีบางประเทศใกล้เคียง เช่น จีน เกาหลี เวียดนาม รับวัฒนธรรมนี้ไปใช้ในแบบของตัวเอง แต่รู้ไหมครับว่าที่มาของมัน เริ่มต้นมาจากแผนการตลาดในการขายสินค้าของบริษัทญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับวันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปีที่เป็นวันป๊อกกี้) จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความรัก รวมถึงของที่ฝ่ายชายนำมามอบให้หญิงสาวในวันนี้ ก็มีความหมายของตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับความหมายของของขวัญวันวาเลนไทน์เลย ในโอกาสเข้าสู่วันไวท์เดย์ MenDetails จึงขอหยิบเรื่องราวความเป็นมาของวันนี้มาให้ผู้ชายได้อ่านครับ เผื่อใครอยากจะมอบของขวัญให้สาว ๆ ในวันไวท์เดย์ หรืออยากจีบสาวญี่ปุ่นจะได้ไม่พลาด
วัน White Day คืออะไร?
คนญี่ปุ่นนี่ น่าชื่นชมอยู่อย่างหนึ่ง คือความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่สามารถทำให้ทุก ๆ วันในหนึ่งปีบนปฏิทินเป็นวันแห่งอะไรก็ได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มก็ตาม ทั้งเกม อนิเมะ ไปจนถึงเรื่องจิปาถะทั่วไปที่เกิดจากการเล่นคำ แถมบางเรื่องยังได้รับการยอมรับเป็นวันระดับชาติ เช่น วันน้องหมาของญี่ปุ่น ที่เป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน มาจากเสียงหมาเห่าของญี่ปุ่น ว่า ” Wan Wan Wan” คล้องกับภาษาอังกฤษว่า One One One
และสำหรับวันไวท์เดย์นี้ ก็เป็นหนึ่งในวันที่แสนจะธรรมดา จนกระทั่งมีร้านขายขนมในจังหวัด Fukuoka ชื่อ Ishimura Manseido เกิดปิ๊งไอเดียการขายมาชเมลโล่ขึ้นมาในปี 1977 ผนวกกับยุค 1970s เป็นช่วงเวลาที่ความนิยมของวันวาเลนไทน์ในญี่ปุ่นเริ่มแพร่หลายมากขึ้น (หลังจากที่มันเข้ามาในญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 1936 ซึ่งก็ถือว่าใช้เวลาหลายสิบปีทีเดียวกว่าจะได้รับความนิยม)
ในตอนแรกที่วาเลนไทน์เริ่มแพร่หลาย ความคิดที่ว่าฝ่ายที่ได้รับของขวัญจะต้องเอาของมาคืนให้ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่เมื่อยุคสมัยค่อย ๆ เปลี่ยน ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจของชาวญี่ปุ่น เลยเริ่มเกิดความคิดในการมอบของตอบแทนให้ในเวลาต่อมา แต่มันก็ยังไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติ เรียกว่าเป็นการยึดตามความสบายใจของแต่ละคนมากกว่า
จนครั้งแรกที่มาชเมลโล่ของร้านดังกล่าวออกขาย วันที่ 14 มีนาคม ก็ถูกเรียกว่าเป็น Marshmallow Day แต่ไม่นาน National Confectionery Industry Association หรือสมาคมอุตสาหกรรมของหวานแห่งชาติของญี่ปุ่นก็ทำการโปรโมตให้มันเป็น “วันแห่งคำตอบ” ของฝ่ายชาย จากวันวาเลนไทน์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ฝ่ายหญิงเอาช็อกโกแลตมามอบให้ โดยฝ่ายชายจะต้องเอาของมามอบคืนให้ (แม้ว่าจะตอบรับหรือไม่ตอบก็ตาม) และนับจากนั้น ทำให้บริษัทขนม ของขวัญ และร้านดอกไม้ต่าง ๆ ทั่วประเทศกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย จนทำให้มันกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝ่ายหญิงจะมอบช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์ ทั้งช็อกโกแลตตามมารยาท (สำหรับเพื่อน คนสนิทใด ๆ) หรือช็อกโกแลตแทนใจ (สำหรับคนที่ตัวเองชอบ) และฝ่ายชายจะนำของมามอบคืนให้ (พร้อมคำตอบในกรณีที่ได้รับช็อกโกแลตแทนใจ) ในวันไวท์เดย์
ส่วนชื่อของ White Day เชื่อกันว่ามาจากสีขาวที่เปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างชายหญิง จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อวัน
ความรู้สึกนั้น ขอคืนให้ 3 เท่า กับความหมายของขนม 3 อย่าง
ในวันไวท์เดย์ มีธรรมเนียมที่เรียกว่า Sanbai gaeshi หรือ คืนให้สามเท่า หมายถึงการที่ฝ่ายชายจะต้องมอบของตอบแทนที่มีค่ามากกว่าของที่ได้รับในวันวาเลนไทน์จากฝ่ายหญิง 3 เท่า ซึ่งในปัจจุบันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อของที่มีมูลค่ามากกว่าของที่ได้รับ 3 เท่าได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนัก เพราะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือการได้รับของตอบแทน โดยเฉพาะของตอบแทนที่มีความหมายสื่อถึงคำตอบจากฝ่ายชาย ที่ผู้หญิงตั้งตารอมาหนึ่งเดือน และนี่คือ 3 ขนมยอดฮิต กับความหมายของมันที่ผู้ชายควรรู้ครับ
มาชเมลโล่ กับความรู้สึกที่ส่งไปไม่ถึง
แม้วันไวท์เดย์จะเริ่มมาจากการพยายามขายมาชเมลโล่ และในตอนแรกก็ไปได้ดีทีเดียวสำหรับใช้ในการตอบรับความรู้สึกของสาวที่มาสารภาพรัก ถ้าหากความรู้สึกตรงกัน ฝ่ายชายจะนำช็อกโกแลตเคลือบมาชเมลโล่มาให้ เป็นตัวแทนของ “ความรู้สึกของหญิงสาว” ที่ถูกโอมล้อมด้วย “ความรักบริสุทธิ์ของผู้ชาย”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป น่าเสียดายที่ความหมายของมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมาชเมลโล่ละลายง่าย ทำให้มันกลายเป็นความหมายว่า การไม่ได้สนใจในเชิงรักใคร่ หรืออย่างแย่ที่สุด คือการปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบเลยแม้แต่น้อย เปรียบเหมือนมาชเมลโล่ที่ละลายไปอย่างง่ายดาย และความรู้สึกของหญิงสาวที่ส่งไปไม่ถึง
คุกกี้…เพราะรักไม่รักก็ต้องต้องเสี่ยง ถึงยังไงก็ต้องเสี่ยง
สำหรับคุกกี้ แม้อาจจะไม่ใช่ของตอบรับที่ดีที่สุดที่สาว ๆ ญี่ปุ่นอยากได้ แต่มันก็ไม่เลวร้ายเท่ามาชเมลโล่แน่นอน ในกรณีของคุกกี้ ความหมายของมันคือ “การมองเป็นแค่เพื่อน” เพราะคุกกี้มีความแห้งกรอบ แตกหักง่าย และไม่ค่อยเป็นทางการเท่าช็อกโกแลต (ในความรู้สึกของชาวญี่ปุ่น) เหมือนความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่อาจแตกสลายหากก้าวไปมากกว่านั้น
แต่ก็อย่างว่า ถึงเพราะยังไงก็ต้องเสี่ยง รักไม่รักก็ต้องเสี่ยง ถ้าฝ่ายหญิงไม่เปิดเผยความรู้สึก ก็คงไม่รู้ว่าฝ่ายชายคิดอะไร หลาย ๆ คนก็เลยต้องมา เสี่ยงทาย กันหน่อย
ลูกอม จะมีเพียงเธอ รักเพียงแต่เธอ
ลูกอม ลูกกวาด อมยิ้ม จำพวกนี้ สำหรับสาว ๆ ญี่ปุ่น ถ้าได้รับมาพร้อมกับของตอบแทน (จะสามเท่าหรือไม่ก็แล้วแต่) จะถือว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในวันไวท์เดย์ เพราะลูกอมสื่อความหมายว่า “ผมชอบคุณ” เนื่องจากลูกอม ลูกกวาด เป็นขนมที่ละลายยาก เวลากินต้องอมไว้ในปาก เพื่อลิ้มรสความหวานของมันไปเรื่อย ๆ จึงสื่อถือความรักที่มั่นคง ยืนยาว ที่จะมีเพียงเธอตลอดไป
…และสารพัดของกุ๊กกิ๊ก
ในวันไวท์เดย์ ของที่ฝ่ายชายซื้อมาตอบแทนความรู้สึกของหญิงสาวก็ไม่ได้มีแค่สามอย่างนี้ แต่ยังมีของอีกมาก ตั้งแต่ของกิน ไปจนถึงเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ช็อกโกแลตขาว ซึ่งก็จัดอยู่ในประเภทเดียวกับการได้รับลูกอม มาการอง ที่หมายถึงว่าฝ่ายหญิงคือ “คนพิเศษ” ที่อาจยังไม่ได้ดีที่สุดเท่าลูกอม แต่ก็ถือว่าดีมาก ๆ ไปจนถึงดอกไม้ แหวน ต่างหู หรือการพาไปดินเนอร์เดทก็มี และบางอย่างก็ไม่ได้มีความหมายเฉพาะตัว แต่ฝ่ายหญิงก็สามารถรู้ได้จากการกระทำหรือท่าทางของผู้ชายอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่เจนเนอเรชันของคน กำลังทรัพย์ เวลา และโอกาส ที่ต่างกันไป
White Day ในปัจจุบัน กับความคิดของสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเปลี่ยนไป
ปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนไป เด็กรุ่นใหม่มีความคิดต่างจากเดิม สังคมเปิดกว้างมากขึ้น วันวาเลนไทน์จึงไม่ใช่แค่วันที่ฝ่ายหญิงจะมามอบช็อกโกแลตให้ฝ่ายชายอย่างเดียว เพราะในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ใคร ๆ ก็สามารถมอบช็อกโกแลตให้กันได้ ฝ่ายชายก็ไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป สามารถเอาช็อกโกแลตไปให้สาวที่ชอบตั้งแต่วันวาเลนไทน์ได้เลย ส่วนไวท์เดย์ก็ยังคงมีอยู่ ในฐานะ Gimmick วันแห่งคำตอบ หรือวันที่คนที่ได้รับของจากวันวาเลนไทน์จะเอาของมามอบตอบแทน แต่วันไวท์เดย์ก็ยังคงผูกกับผู้ชายมากกว่าอยู่ดี
นอกจากความคิดที่เปลี่ยนไป หลาย ๆ คนก็ไม่ค่อยใส่ใจหรือรู้ความหมายของ ของที่ได้รับอีกแล้ว ทำให้การที่หลาย ๆ ครั้ง การที่ฝ่ายหญิงได้รับมาชเมลโล่ หรือลูกอม ก็ไม่ได้หมายถึงการตอบรับหรือปฏิเสธความรู้สึกจากฝ่ายชายอีกต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่คน ช่วงวัย และบริบทหลาย ๆ อย่างครับ
วันไวท์เดย์จึงเป็นวันที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวันธรรมดา แต่ด้วยแผนการตลาดของเหล่าคนขายขนมหัวใส แล้วทำให้มันค่อย ๆ หลอมรวมจนกลายมาเป็นหนึ่งวัฒนธรรมในวันแห่งความรักที่ไม่เหมือนใคร และสำหรับในวันที่ 14 มีนาคมนี้ ใครที่อยากจะมอบของขวัญให้สาว ๆ ที่สนใจ โดยบอกว่าเป็นวัน White Day ก็คงไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดครับ