เนื้อย่างญี่ปุ่นหรือ ยากินิคุ น่าจะเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของผู้ชายหลาย ๆ คน เพราะการได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง การลิ้มรสชาติเนื้อ บรรยากาศในการกินไม่ว่าจะคนเดียวก็ดี สังสรรค์กับเพื่อนก็ดี กินกับคนพิเศษหรือครอบครัวก็ดี เป็นความรู้สึกที่ทำให้เนื้อย่างยากินิคุเป็นอาหารที่มีพื้นที่พิเศษอยู่ในใจของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะใครที่เป็นสายเนื้อ ย่อมตามหาร้านที่เนื้อคุณภาพเยี่ยม และบริการทุกระดับประทับใจเป็นธรรมดา MenDetails เองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ชื่นชอบยากินิคุเช่นกัน ในวันนี้เราจึงอยากชวนทุกท่านไปลองร้านเนื้อย่างญี่ปุ่นร้านเล็ก ๆ แต่ใส่ใจทุกรายละเอียด ที่เราไปโดนมาแล้วและอยากบอกต่อ ชื่อว่า Bro’s grill & beer Sukumvit50 ครับ ร้านนี้พิเศษอย่างไร มีอะไรเด็ด ตามเราไปดูกันได้เลยครับ
ร้านเล็ก ๆ แต่อบอุ่นที่ซ่อนตัวอยู่ในสุขุมวิท 50
Bro’s grill & beer Sukumvit50 เป็นร้านเนื้อย่างเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 50 เลี้ยวซ้ายเข้าซอยมา ร้านจะอยู่คนละฝั่งกับโลตัส อ่อนนุช ระหว่างคอนโด The Rythm และ The Link หากใครมาทาง BTS สามารถมาลงที่สถานีอ่อนนุชแล้วเดินอีกนิดก็จะถึงร้านเลย แต่หากใครมารถส่วนตัว ให้ขับเลยคอนโด Rythm ไปหน่อย จะเป็นซอย เหลือสุข ปากซอยมีป้ายสมาคมจีน จึงตระกูลอยู่ เลี้ยวขวาเข้าซอย สังเกตด้านขวา จะมีลานจอดรถ เราสามารถจอดรถที่นั่นแล้วเดินมาร้านได้ครับ
ตัวร้านจะอยู่ในซอยตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารต่าง ๆ อาจจะสังเกตยากสักนิด แต่ให้มองหาโลโก้ร้านไว้รับรองหาเจอแน่นอนครับ หรือสังเกตร้านที่คนกำลังปิ้งเนื้อกันอยู่ก็ได้
ตัวร้านมีขนาดเล็ก ให้บรรยากาศคล้ายร้านเนื้อย่างที่ญี่ปุ่น ผนังร้านเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของเนื้อวากิวจากหลาย ๆ จังหวัด แค่เดินเข้ามาในร้าน นั่งโต๊ะแล้วมองรอบร้านก็ชวนให้ความรู้สึกอยากกินเนื้อพลุ่งพล่านขึ้นอีก ส่วนเตาของร้านนี้จะไม่ใช่เตาถ่านเนื่องจากพื้นที่ร้านไม่อำนวย แต่จะเป็นเตาแก๊สที่ตัวเตาจะมีร่องที่ลาดเอียงลงไปยังถ้วยข้าง ๆ เตา เป็นร่องสำหรับให้น้ำมันเวลาย่างเนื้อไหลผ่านลงไป ความมันจะได้ติดอยู่บนเตาจนน้ำมันท่วม ย่างเนื้อไม่อร่อย นอกจากนี้เวลาย่างยังจะมีพนักงานคอยเอากระดาษซับมันมาซับน้ำมันบนเตาออกให้ด้วย
ร้านมีโต๊ะไม่มาก ถ้ามาเป็นกลุ่ม 4 คน นั่งกันสัก 4 – 5 โต๊ะก็เต็มร้านแล้ว ทำให้ถ้าใครที่วางแผนจะไปจริง ๆ อาจต้องโทรจองกันก่อนล่วงหน้าจะเป็นการดีที่สุด เพื่อที่ทางร้านจะได้สอบถามเมนูที่อยากกิน หรือจะกินเป็นบุฟเฟ่ต์คอร์สไหน จะได้จัดเตรียมเนื้อ หรือให้คำแนะนำเหมาะกับความชอบของเราได้ถูกครับ เพราะเนื้อที่นี่จะเบิกมาจากห้องเก็บเนื้อวันต่อวัน ทำให้ไม่มีเนื้อเหลือข้ามวันแน่นอน
จะเนื้อวากิว หรือเนื้อไทย เนื้อไหนก็เด็ด
มาพูดถึงส่วนที่ทุกคนให้ความสำคัญมากที่สุดเวลามาร้านยากินิคุนั่นคือ เนื้อนั่นเองครับ โดยร้านนี้มีทั้งเนื้อวากิวจากญี่ปุ่น เนื้อไทยวากิวสายพันธุ์ภูพาน และเนื้อไทยเฟรนซ์ ซึ่งเนื้อทุกประเภททางร้านคัดมาอย่างดีเพื่อให้ลูกค้าที่มากินทุกคนได้กินเนื้อคุณภาพดีทั้งเนื้อไทยและเนื้อญี่ปุ่น ที่สวยงามตั้งแต่ลายเนื้อ ทางร้านมีขายเนื้อแยกแบบ A La Carte แต่เพื่อความเต็มอิ่มในการกินเนื้อแบบต่าง ๆ และความคุ้มค่าเราแนะนำให้สั่งแบบบุฟเฟ่ต์ครับ
มาดูทางฝั่งของเนื้อวากิวกันก่อนครับ ตัวที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของร้านนี้ คือ เนื้อ Kobe Wine กับเนื้อ Kobe ธรรมดา ที่สายเนื้อที่มาร้านนี้จะไม่ยอมพลาดกัน เนื้อทั้งสองชนิดจะมีความต่างกันในเรื่องของอาหารที่ใช้เลี้ยง อย่าง Kobe Wine จะใช้กากองุ่นที่ทำไวน์เป็นอาหาร ทำให้มีรสชาติหวานมันเฉพาะตัว ทางร้านมีให้เลือกทั้งระดับ A4 และ A5 ที่จะมีความมันของเนื้อต่างกันไป
นอกจากนั้นก็มีเนื้อ Shimane Hokkaido Hitachi Kagoshima A5 A4 แล้วแต่ที่ทางร้านจะหาได้ สลับสับเปลี่ยนกันไปให้คนกินไม่เบื่อ แต่ในครั้งนี้ตัวไฮไลท์ที่ทางร้านกำลังจะนำเข้ามาให้ได้ลิ้มลองในช่วงเดือนตุลาคม คือ เนื้อวากิวจาก Nagasaki ครับ พูดถึงเนื้อ Nagasaki หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับเนื้อนี้เท่าไหร่นัก เพราะจะคุ้นกับ Kobe หรือ Kagoshima มากกว่า แต่จริง ๆ แล้วเนื้อนี้ก็มีดีกรีที่ไม่ธรรมดาเพราะได้รางวัลในการประกวด Wagyu Olympics ในปี 2012 และ 2017 จากความสวยงามของลวดลายไขมันในเนื้อ
ส่วนเนื้อไทย หลายคนได้ยินคำว่า “ไทย” ห้อยอยู่ ก็อาจจะเกิดความไม่มั่นใจในคุณภาพของเนื้อที่คงสู้วากิว A4 A5 ไม่ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เราคิดในตอนแรก แต่เมื่อเห็นเนื้อและได้ลองกินเองแล้ว เราบอกได้เลยครับว่าเราคิดผิดถนัด เพราะเนื้อไทย ทั้งไทยวากิว และไทยเฟรนช์ส่วนต่าง ๆ เช่น บาเวท ใบพาย ลิ้น นอกจากลวดลายและสีที่สวยงามวางคู่กับเนื้อ A4 A5 ได้อย่างไม่อายใคร มี Texture ที่นุ่มลิ้นมาก ๆ มีรสชาติและกลิ่นที่เฉพาะตัวเช่นเดียวกับเนื้อ Kobe และเนื้อ Nagasaki
ทั้งหมดนี้มาจากความเอาใจใส่ในคุณภาพของเนื้อและวัตถุดิบที่อยากให้ลูกค้าทุกคนได้กินเนื้อที่อร่อย ได้รับประสบการณ์การกินเนื้อที่ดี ซึ่งในบุฟเฟ่ต์ก็ยังมีเนื้ออีกหลายส่วนของอาหารอีกหลายอย่างที่หากว่าพูดในนี้หมดคงจะยาวเกินไปเป็นแน่แท้ เราอยากให้ทุกท่านได้ไปสัมผัสเอง ทั้งซุป ข้าว สลัด เครื่องเคียงต่าง ๆ หรือแม้แต่หอย Hotate ตัวใหญ่ ๆ ย่างกับเนยหอม ๆ ก็ดีงามมาก ๆ
ราคาของบุฟเฟ่ต์เริ่มตั้งแต่ 1988.- ไปจนถึง 3888.- ในใจเราแอบเชียร์ให้สั่งตัวคอร์ส 3888.- เพราะจะได้กินเนื้อทุกประเภทและทุกส่วน ทั้งเนื้อไทย เนื้อวากิว เป็นประสบการณ์การกินเนื้อที่เราว่าคุ้ม เพราะเมื่อเราได้ลองกินเนื้อหลาย ๆ อย่างเราจะสามารถแยกรสของเนื้อต่าง ๆ และลิ้มรสกับเนื้อเหล่านั้นได้เต็มที่ แต่ถ้าใครอยากกินเนื้อแบบไหน ก็สามารถพูดคุยกับทางร้านได้ พนักงานและเจ้าของร้านพร้อมให้คำแนะนำอย่างดี เพื่อให้ยากินิคุมื้อนี้พิเศษที่สุด
สัมผัสรสชาติเนื้อ และเทคนิคการกินเนื้อให้เต็มอิ่ม
หนึ่งจุดขายของร้านนี้ที่เรามองเห็นนอกจากเนื้อ คือ ความเอาใจใส่ของร้านตั้งแต่คุณน้ำอบ เจ้าของร้าน จนถึงพนักงานคนอื่น ๆ ที่คอยให้คำแนะนำอย่างดี คอยถามว่าชอบกินเนื้อแบบไหน เช่น หากเป็นคนไม่กินเนื้อมันเยอะ ๆ ทางร้านก็จะไม่แนะนำเนื้อ A5 แต่จะเป็นเนื้อ A4 ที่มีความมันน้อยกว่า ทำให้ตรงความชอบของลูกค้าคนนั้นมากกว่า
นอกจากนี้เพื่อให้เราสามารถลิ้มรสชาติความอร่อยของเนื้อได้เต็มที่ ทางร้านจะมาแนะนำวิธีการย่างเนื้อเพื่อให้ได้เนื้อที่อร่อย โดยเฉพาะใครที่ชอบการย่างเนื้อแบบ Medium rare ทางร้านจะสอนการย่างให้ได้เนื้อที่ฉ่ำ นุ่มลิ้น กินแบบไม่ต้องจิ้มกับอะไรก็อร่อย เพราะเนื้อแต่ละอย่างมีรสชาติที่เฉพาะตัวอยู่แล้ว
อย่างเนื้อ Kobe ที่จะมีกลิ่นหอมและรสของเนื้อที่เข้มข้น หวาน แต่เมื่อมากินเนื้อ Nagasaki เราจะพบว่าแม้กลิ่นและรสจะไม่รุนแรงเท่า Kobe แต่กลับได้ความละมุน รสชาติกลมกล่อมแบบ “อูมามิ” มาแทน ส่วนเนื้อไทยก็จะมีรสเนื้อที่เข้มข้นเมื่อเข้าปาก ต่างไปจากเนื้อ Kobe แล้วเมื่อลองใส่เกลือ หรือจิ้มน้ำจิ้มก็จะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปอีก ทำให้เราได้ลิ้มรสชาติที่หลากหลาย
แต่ถ้าใครอยากลองเหยาะเกลือ หรือจิ้มน้ำจิ้มที่ทางร้านมีให้ 3 อย่าง คือ น้ำจิ้มงา โคชูจัง และซอสหวาน ก็สามารถจิ้มได้ แต่เราเชียร์ให้ลองกินแบบไม่จิ้มอะไรเลยก่อน เพราะมันอร่อยมาก ๆ อยู่แล้ว เผลอ ๆ ตลอดทั้งมื้อของเรา เราอาจติดใจรสชาติเนื้อจนไม่จิ้มน้ำจิ้มสักหยดก็เป็นได้ครับ
อีกหนึ่งเทคนิคสำหรับการลิ้มรสเนื้อที่ดีขึ้น และสามารถกินได้นานจนครบ 90 นาที ที่ทางร้านแนะนำเรามา คือ การกินสลับครับ เวลาที่เรากินเนื้อวากิวไปแล้ว ให้เราสลับด้วยเนื้อไทย เป็นการ cleanse palate หรือล้างรสชาติเนื้อที่ยังอยู่ในปาก ทำให้เรารับรสของเนื้อชิ้นต่อ ๆ ไปได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการลดความเลี่ยนที่เกิดจากการกินเนื้อ A4 A5 ที่มีมันเยอะเป็นเวลานาน ทำให้เราอิ่มไว และอาจกลายเป็นการกินเนื้อที่ไม่ประทับใจของลูกค้า เมื่อเรากินเนื้อวากิว พอกลับมากินเนื้อไทย เราก็จะรับรสของเนื้อไทยได้เต็มที่ขึ้น เมื่อกลับไปกินวากิวเราก็จะรับรสของเนื้อชิ้นนั้นได้เหมือนกับการกินคำแรก แต่ถ้าไม่กินเนื้อสลับ กินเครื่องเคียงอย่างซุปใส สลัด ขิงดอง ที่ทางร้านมีให้ก็ช่วยได้เช่นกันครับ เราอาจจะไม่สามารถบอกรสชาติของเนื้อที่ต่างกันและอาหารได้ทั้งหมด เพราะเราอยากให้ทุกท่านได้มาลองสัมผัสด้วยตัวเองจริง ๆ
สรุปสุดท้ายของ MenDetails เรามองว่าการได้มากินยากินิคุที่ร้านนี้ นอกจากจะเป็นการกินเนื้อที่คุณภาพเยี่ยมแล้ว ยังเป็นการซื้อประสบการณ์การกินเนื้อที่เยี่ยมไม่แพ้กัน ด้วยความเอาใจใส่ของร้านที่อยากให้ทุกคนได้กินเนื้อหลากหลาย และกินได้เต็มอิ่ม ตั้งแต่วิธีการย่าง การกินสลับเนื้อ ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นของร้านที่น่ามานั่งสังสรรค์ เพราะการมีคนร่วมโต๊ะดี ๆ ก็สามารถทำให้อาหารอร่อยเพิ่มขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ
นอกจากนี้การที่เราได้ลองเนื้อวากิวจากที่ต่าง ๆ ทั้ง A4 A5 และเนื้อไทย ส่วนต่าง ๆ ที่มี Texture และรสชาติต่างกัน และการได้ลิ้มรสเนื้อทั้งจากการกินเปล่า ๆ ก็ดี การเหยาะเกลือ จิ้มน้ำจิ้มก็ดีก็ทำให้เราได้รับรสชาติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น การเป็นความสนุกของการได้ทดลองอะไรหลาย ๆ อย่างในมื้อนี้ไปโดยปริยาย และนี่แหละครับ คือ เสน่ห์ของเนื้อย่าง
สำหรับใครที่อยากไปสัมผัสประสบการณ์การกินเนื้อที่ให้เราได้สัมผัสเนื้อที่หลากหลาย และเรามองว่าเป็นการกินที่เต็มอิ่ม โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นสายเนื้อ ร้าน Bro’s grill & beer Sukumvit50 เป็นร้านหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ได้มาลองครับ ร้านหยุดทุกวันจันทร์ ส่วนวันอังคาร-ศุกร์ เปิด 17:00-21:00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เปิด 12:00-21:00 น. ครับ หรือสามารถโทรติดต่อร้านค้าล่วงหน้าเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก่อนได้ครับ รับรองว่าไปโดนร้านนี้ครั้งหนึ่งแล้วจะต้องมีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน