No Time to Die ถือเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะในวาระการกลับเข้าโรงหนังอีกครั้งในรอบหลายเดือนหรือในรอบปีของใครหลายคน หลังการแพร่ระบาดของ โควิด19 ทั่วโลก เพราะหากชมหนังเรื่องนี้อยู่ที่บ้านผ่านสตรีมมิ่งต่างๆ อรรถรสจะลดลงไปมากพอสมควร ใช้คำว่าไม่สมคุณค่ากับการอำลา แดเนียล เคร็ก ในบทสายลับ รหัส 007 ก็ได้
ความน่าสนใจของ No Time to Die นอกจากการวางมือของ แดเนียล เคร็ก ในส่วนของผู้กำกับ แครี่ โจจิ ฟุคุนางะ ก็เป็นเรื่องที่หลายคนไม่คาดคิด เนื่องจากเจ้าตัวขยับตำแหน่งมาจากทีมเขียนบท แถมยังมีผลงานการกำกับภาพยนตร์ที่ไม่มาก (Beasts of No Nation , Jane Eyre) ทำให้หลายคนค่อนข้างปรามาสในฝีมือของเขา
No Time to Die ภาพยนตร์ลำดับที่ 25 ในหนังชุด เจมส์ บอนด์ ได้ทีมนักแสดงเดิมอย่าง แดเนียล เคร็ก, เลอา เซย์ดูว์, เบน วิชอว์, นาโอมิ แฮร์ริส, เจฟฟรี่ย์ ไรท์, คริสทอฟ วอลทซ์ , เรล์ฟ ไฟนส์ และ รอรี่ คินเนียร์ มาผสมผสานกับตัวละครใหม่ที่รับบทโดยนักแสดงชัดใหม่อย่าง รามี มาเลค , ลาชานา ลินช์ และ อนา เดอ อาร์มัส
สำหรับตอนที่ 5 ในรอบ 15 ปี ของ แดเนียล เคร็ก ในบท เจมส์ บอนด์ อย่าง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ เล่าถึง เจมส์ บอนด์ ที่เลิกทำงานเสี่ยงตายรับใช้รัฐบาลและกำลังดื่มด่ำกับชีวิตที่แสนสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาสงบเขาช่างสั้นนัก เนื่องจากเพื่อนเก่าของเขา เฟลิกซ์ ไลเตอร์ จากซีไอเอได้ปรากฏตัวมาขอความช่วยเหลือจากเขา ภารกิจในการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไปกลับกลายเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเกินกว่าที่คาดคิดไว้มากมาย และนำบอนด์ไปสู่ร่องรอยของวายร้ายลึกลับที่มีเทคโนโลยีใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ
No Time to Die ยังคงเก็บรายละเอียดและเอกลักษณ์ของหนังสายลับรหัส 007 จากหน่วย MI6 ในรัฐบาลอังกฤษไว้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางไปทำภารกิจในหลายประเทศทั่วโลก (ฉากเปิดในเมืองมาเทรา ของอิตาลี สวยมาก) รถหรูสุดคลาสสิก สายลับสาวสวย อุปกรณ์ไฮเทคจาก Q และการกอบกู้โลกจากวายร้าย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ No Time to Die ต่างออกไปคือการแสดงให้เห็นถึงความมนุษย์ของ เจมส์ บอนด์ มากกว่าภาคอื่นๆ เมื่อเข้าต้องเผชิญกับหลากหลายสถานการณ์เหนือความคาดหมายราวกับขึ้นรถไฟเหาะ ได้สัมผัสทุกห้วงอารมณ์ทั้ง สุข เศร้า เหงา ได้รับความบาดเจ็บทั้งกายใจ
พาร์ทการปลดเกษียณและกลับมารับภารกิจสุดท้าย ทั้งๆที่มี 007 คนใหม่แล้ว ถือว่าดร็อปไปหน่อย ไม่ว่าจะเสน่ห์ของ 007 คนใหม่ รวมถึงความร่วมมือกันของสายลับสองเจเนเรชั่นที่ไม่ลื่นไหล เมื่อเทียบกับการปรากฏตัวของ อนา เดอ อาร์มัส ในบท พาโลมา สายลับหน้าใหม่ที่ภารกิจสั้นๆซึ่งเธอร่วมมือกับ 007 ในคิวบา ขโมยซีนจนรับตำแหน่งสาวบอนด์สุดเซ็กซี่ในภาคนี้ไปด้วยคะแนนเอกฉันท์
จุดอ่อนของ No Time to Die ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ซาฟิน ตัวร้ายที่ไร้ความน่าเกรงขาม แม้จะได้ รามี มาเลค เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Bohemian Rhapsody มารับบทนี้ เช่นเดียวกับช่องโหว่ของบทในช่วงท้ายของหนัง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยตัวประกันหลุดมืออย่างง่ายดาย การโผล่ไปมาตามที่ต่างๆแบบไร้เหตุผล ฯ
ส่วนสิ่งที่โดดเด่นน่าจะเป็นการเชื่อมโยงอาวุธร้ายตัวใหม่กับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ทั้งเรื่องของการนำเชื้อไวรัสมาคร่าชีวิตคนผ่านการใส่รหัสพันธุกรรมระบุตัว ที่หวังสร้างแนวคิดการฆ่าโดยไม่ต้องมีใครถูกลูกหลง มีทั้งแบบสังหารทันที กับการใช้มนุษย์เป็นพาหะ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ตาย แต่ไม่สามารถใกล้ชิดกับคนในครอบครัวที่มียีน DNA ใกล้เคียงกันก็ได้ด้วย (เครือญาติ) เพราะไวรัสติดได้ผ่านการสัมผัสตัว แทบไม่ต่างอะไรกับ โควิด19 จุดนี้แข็งแรงกว่าประเด็น พันธุกรรมสายลับที่ส่งผ่านรหัส 007 ซํ้ากันเสียอีก
ชื่นชมทีมเขียนบทกับผู้กำกับในความกล้าที่จะลิขิตชะตาชีวิตของ เจมส์ บอนด์ ออกมาในรูปแบบโศกนาฏกรรมสุดทางแบบไม่สนดราม่าใดๆ ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้หนังได้มากพอสมควร กับบทสรุปที่แฟนๆหลายคนคาดไม่ถึง
ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า No Time to Die คือตอนที่ดีที่สุดหรือสมบูรณ์ที่สุดของ หนัง 007 ที่ แดเนียล เคร็ก แสดงนำ แต่นับเป็นงานเลี้ยงส่งที่น่าจดจำไม่แพ้ Skyfall ที่รํ่าลา จูดี้ เดนซ์ ในบท M หนังเรื่องนี้นับเป็นการปลดระวางรหัส 007 อย่างสมศักดิ์ศรี ส่งไม้ต่อให้กับผู้ที่จะมารับบท เจมส์ บอนด์ คนใหม่อย่างสวยงาม สามารถจารึกชื่อของ แดเนียล เคร็ก ต่อจาก เพียร์ซ บรอสแนน, ทิโมธี ดาลตัน, โรเจอร์ มัวร์, จอร์จ เลเซนบี และ ฌอน คอนเนอรี ด้วยข้อความที่ว่า เขาเปลี่ยนมุมมองที่หลายคนมีต่อ เจมส์ บอนด์ ไปตลอดกาล ในฐานะการขับเคลื่อนตัวละคร 007 ให้มีความใกล้เคียงกับการเป็นคนธรรมดาที่สุด
คะแนน 7.5/10