ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนน่าจะเห็นข่าวใหญ่วงการไอทีอย่างการประกาศรีแบรนด์ Twitter ของ Elon Musk พร้อมเปลี่ยนโลโก้จากนกสีฟ้าไปเป็นเครื่องหมาย X เรื่องนี้สร้างความตื่นเต้นและความสงสัยให้กับผู้ใช้อย่างเรา ๆ อยู่ไม่น้อยว่าพี่แกจะมาไม้ไหนกันแน่ ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสด้านลบต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อยู่พอสมควร Mendetails ชวนทุกคนมาดูที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ทำไมต้องเป็น X และเรื่องนี้ส่งผลกระทบอะไรบ้างต่อแอปฯ คู่แข่งอย่าง Threads
X ชื่อนี้มีที่มา
ที่มาของแบรนด์ใหม่นี้ เดิมเป็นชื่อโครงการที่ Elon Musk พูดถึงมานานแล้วในการสร้าง Everything App ในช่วงที่เขาประกาศซื้อกิจการ Twitter ซึ่งก็ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเท่ ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ตัวอักษรตัวเดียวตัวนี้มีที่มาที่ไปอยู่ โดยจุดเริ่มต้นของ มันเกิดขึ้นตอนที่ Elon Musk อายุ 28 ปี ตอนนั้นเขามีความตั้งใจที่จะสร้างแพลตฟอร์มการเงินเต็มรูปแบบแต่ยังคิดชื่อไม่ออก วันหนึ่งเขาและทีมงานได้เข้าไปประชุมที่คาเฟ่ Blue Chalk Cafe ใน Palo Alto, California เขาขอให้พนักงานเสิร์ฟสาวคนหนึ่งแสดงความเห็นเรื่องชื่อแพลตฟอร์มว่าควรใช้ชื่ออะไรดี เธอตอบกลับมาว่าชอบชื่อ “X.com” ซึ่ง Elon Musk ก็ชอบชื่อนี้มากแม้คนในทีมจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ในที่สุดชื่อนี้ก็ถูกนำไปใช้จริงในเวลาต่อมา จากนั้นแพลตฟอร์มการเงินชื่อ “X.com” ก็เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 1999 และต่อมาก็ถูกโอนเป็นของ PayPal ผ่านการควบรวมกิจการ
Elon Musk ถูกปลดออกจากตำแหน่ง CEO ของ PayPal ในปลายปี 2000 แต่เขายังชื่นชอบโดเมน X.com อยู่ไม่เสื่อมคลายจนในที่สุดก็ได้ซื้อโดเมนนี้กลับมาในปี 2017 แม้จะไม่มีการเปิดเผยมูลค่าตอนที่ซื้อแต่ Elon Musk ทวีตใน Twitter ว่าชื่อนี้มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเขามาก ๆ และขอบคุณ PayPal ที่ยอมให้เขาซื้อโดเมนนี้กลับมา
เสียงตอบรับจากผู้ใช้งาน X
Credit: https://about.twitter.com/en/who-we-are/brand-toolkit
หลังจาก Elon Musk ประกาศรีแบรนด์ Twitter ใหม่เป็น X แม้ว่าการใช้งานภายในแอปฯ จะเหมือนเดิมทุกอย่างแต่ก็มีกระแสการต่อต้านโลโก้ของแบรนด์ให้เห็นอยู่ไม่น้อย ความคิดเห็นจากหลายบัญชีผู้ใช้เรียกร้องให้เอาโลโก้นกสีฟ้าเดิมกลับมา บ้างก็บอกว่า Elon Musk ควรสร้างแอปฯ ใหม่ไปเลยดีกว่ามาเปลี่ยนสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้แย่ลง หนักสุดคือถึงขั้นที่ว่าบอกโลโก้นี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าเว็บสื่อลามก
นอกจากนี้ ชื่อของแอปฯ ยังมีปัญหาเล็ก ๆ ให้เห็นจากกรณีที่หน้าบัญชีทางการของแอปฯ ในประเทศญี่ปุ่นที่ไม่สามารถใช้ชื่อว่า X Japan ตรง ๆ ได้เพราะไปซ้ำกับชื่อบัญชีของวงเจร็อกระดับตำนานชื่อเดียวกันที่ใช้มาก่อนแล้ว ซึ่งทางวงได้จดเครื่องหมายการค้าเป็นชื่อนี้มานานแล้ว ทำให้บัญชีทางการของแอปฯ ในญี่ปุ่นต้องย่อเหลือเพียง Japan เท่านั้น
แม้จะมีกระแสตีกลับแต่ดูเหมือนว่า Elon Musk ไม่ได้รู้สึกเป็นเดือนเป็นร้อนกับประเด็นเหล่านี้ เขาได้บอกถึงความจำเป็นในการรีแบรนด์ Twitter ว่าต้องการทำให้แอปฯ สามารถใช้งานได้กับทุกเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ในเมื่อตอนนี้สามารถโพสต์ข้อความยาวได้มากขึ้น ใส่รูปภาพ และรองรับวิดีโอยาว ๆ ได้แล้ว การโพสต์ข้อความ 140 ตัวอักษรที่สั้นเหมือนคำว่าทวีตที่หมายถึงเสียงนกร้องอย่างในอดีตจึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป แล้วในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะมีการเพิ่มเครื่องมือสื่อสารวิธีใหม่ ๆ เข้ามา ไปจนถึงฟีเจอร์ด้านการเงิน ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อ Twitter ไม่เหมาะอีกแล้ว โลโก้นกสีฟ้าจึงต้องถึงจุดจบในที่สุด
กระแสที่เริ่มซาของ Threads
Credit: pexels.com
Threads ประกาศตัวเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Twitter เปิดตัวมาพร้อมกับความร้อนแรงด้วยสถิติการสมัครใช้งานสูงถึง 100 ล้านบัญชีภายในเวลาเพียง 5 วัน รั้งตำแหน่งแอปฯ ที่มีการสมัครใช้งานรวดเร็วที่สุดในประวัติการณ์จนหลายสื่อยกให้มันเป็น Twitter Killer อย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตาม วลีที่ว่า “อะไรที่มาไวก็มักจะไปไวเสมอ” กำลังเกิดขึ้นกับ Threads ในตอนนี้เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้นใน 5 วันแรกหลังเปิดตัวแต่จากข้อมูลล่าสุดของ Sensor Tower เผยว่ายอดการมีส่วนร่วมหรือ Engagement ของแอปฯ น้องใหม่จาก Meta กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือคนใช้งานเพียง 8 ล้านบัญชีต่อวัน และใช้เวลาในแอปฯ เฉลี่ยไม่ถึง 3 นาที
สาเหตุที่ทำให้ความนิยมของ Threads ลดลงสามารถวิเคราะห์ได้หลายอย่าง ประการแรกคือประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว จากการที่ Threads จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับบัญชี Instagram เพื่อเข้าใช้งาน บางคนมองว่าสะดวกแต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ต้องการให้ทั้งสองแอปฯ ซิงค์ข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างกัน บางคนอยากใช้งานทั้งสองแอปฯ แบบแยกขาดกันไปเลยมากกว่า รวมถึงการใช้งานที่บางครั้งพบว่ามีความยุ่งยากในการสลับบัญชีอยู่
ประเด็นต่อมาคือเรื่องของฟีเจอร์ของ Threads ที่ยังมีน้อยไปและยังไม่มีอะไรโดดเด่น แปลกใหม่ หรือน่าสนใจมากเท่าที่ควร แม้ว่า Threads จะโพสต์ข้อความได้สูงสุด 500 ตัวอักษร ใส่ลิงก์เว็บไซต์ได้ แทรกรูปภาพและวิดีโอได้ รวมถึงสามารถแชร์โพสต์ไปยัง Instagram Story ได้ง่าย ๆ แต่เครื่องมือสำคัญอย่างแฮชแท็กกลับยังไม่รองรับ ทำให้ผู้ใช้หลายคนที่ติดการใช้แฮชแท็กรู้สึกว่าขาดบางอย่างไป รวมถึงการติดตามเทรนด์จากแฮชแท็กที่กำลังเป็นที่น่าสนใจอยู่ในขณะนั้นก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่
อีกหนึ่งประเด็นคือการใช้งานเชิงธุรกิจที่ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก Threads ยังไม่สามารถลงโฆษณา โปรโมตโพสต์ สินค้า หรือบริการต่าง ๆ ได้ ซึ่งข้อจำกัดนี้ส่วนหนึ่งมาจากจุดประสงค์ของทาง Meta เองที่ต้องการให้ Threads เป็นพื้นที่พูดคุยเรื่องราวทั่วไปผ่านการโต้ตอบด้วยข้อความมากกว่าการใช้ทำงานในเชิงธุรกิจ
ประเด็นสุดท้ายคือผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงคุ้นชินกับการใช้ Twitter กันมากกว่าเพราะมีจุดเด่นสำคัญอย่างแฮชแท็กที่ช่วยให้สามารถติดตามเทรนด์ต่าง ๆ ในแต่ละวันได้อย่างรวดเร็วแทบจะเรียลไทม์ นอกจากนี้ใน Twitter ยังมีคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ที่มากกว่า เช่นเดียวกับเหล่าศิลปิน ดารา อินฟลูเอนเซอร์ บล็อกเกอร์ คนดังในแวดวงต่าง ๆ ก็ยังใช้ Twitter เป็นหลักมากกว่า Threads ทำให้เหล่าแฟนคลับหรือผู้ติดตามสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ของพวกเขาได้เร็วกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอด Engagement ของ Threads กำลังไหลลงอย่างต่อเนื่องแต่ผู้พัฒนาอย่าง Meta ก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหานี้และกำลังปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ล่าสุดเตรียมปล่อยฟีเจอร์การค้นหาหรือเสิร์ช (Search) นอกจากนี้ก็จะมีเวอร์ชันเว็บไซต์ให้ใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปพีซีและแล็ปท็อปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
Threads จะกลับมาได้หรือไม่?
Credit: https://about.fb.com/news/2023/07/introducing-threads-new-app-text-sharing/
ในฐานะคู่แข่งโดยตรง Threads ยังต้องพัฒนาต่อไปพร้อมกับการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้และต้องค้นหาจุดเด่นที่ Twitter ไม่มีให้เจอเพื่อพัฒนาเป็นจุดเด่นของตัวเอง และอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่ผู้ใช้จะยอมรับและเริ่มหันมาใช้งานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การประกาศรีแบรนด์ของ Twitter กลายเป็นคลื่นอีกลูกที่ซัดเข้าใส่ Threads มองอีกแง่ก็เหมือนเป็นการเอาคืนของ Elon Musk ที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ยอมอยู่เฉยเมื่อมีคู่แข่งบุกมาเหยียบจมูกถึงหน้าบ้าน พร้อมกับเป็นการประกาศถึงความชัดเจนในการพา Twitter ไปสู่ยุคใหม่ที่เข้าต้องการให้เป็น Everything App สำหรับการใช้งานของทุก ๆ คนในทุก ๆ วัน
หากในอนาคต Threads มีการปรับรูปแบบและฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้น่าสนใจขึ้นและกระแสต่อต้านการรีแบรนด์ของ Twitter ยังคงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ที่ Threads จะแย่งกลุ่มผู้ใช้งานจาก Twitter มาได้ ถึงวันนั้น สงครามระหว่าง Elon Musk กับ Mark Zuckerberg น่าจะระอุยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ผู้ใช้อย่างเรา ๆ ก็น่าจะได้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดของทั้งสองแพลตฟอร์ม และอาจจะได้เห็นนวัตกรรม บริการ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาให้ใช้อีกก็เป็นได้