ใครที่ติดตามชมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก คงได้เจอกับผลการแข่งขันที่น่าประหลาดใจ ระหว่างทีมชาติอาร์เจนติน่า กับ ทีมชาติไอซ์แลนด์ที่เสมอกันไป 1-1 เมื่อคืนวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จริงอยู่ที่ไอซ์แลนด์เองก็โชว์ผลงานได้ดีในฟุตบอลยูโร 2016 เมื่อ 2 ปีก่อน แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะสามารถยันเสมอกับทีมที่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง Lionel Messi หรือ Sergio Aguero ได้ และนี่คือ 5 เรื่องเหลือเชื่อของทีมชาติ Iceland ที่จะยิ่งทำให้ผู้อ่านอึ้งหนักเข้าไปอีกว่า “พวกเขาทำได้อย่างไรกัน”
1. ผู้รักษาประตูทีมชาติไอซ์แลนด์ มีอาชีพเป็นผู้กำกับภาพยนตร์
ใช่แล้วครับ ชายหนุ่มนามว่า Hannes Þór Halldórsson ผู้ปฏิเสธลูกจุดโทษของนักเตะที่ (น่าจะ) เป็นหมายเลขหนึ่งของโลกอย่าง Lionel Messi ในนัดแรกนั้น เขามีอาชีพเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ และมีผลงานหนังกึ่งสารคดีที่ทำอย่างจริงจังมาแล้วหลายเรื่องตั้งแต่ปี 2012 ไม่ใช่แค่เพิ่งมาทำเก๋ๆ เป็นงานอดิเรก และยามใดที่เขาแขวนถุงมือผู้รักษาประตู เขาก็จะกลับไปทำงานที่ค่ายภาพยนตร์ SagaFilm ในประเทศไอซ์แลนด์อย่างเต็มเวลาเช่นเดิม
Hannes Þór Halldórsson เหมาทั้งตำแหน่งโกล์และช่างภาพประจำทีม
2. โค้ชทีมชาติ มีอาชีพ Part-Time เป็น “หมอฟัน”
“ชักจะไปกันใหญ่” ลำพังแค่ผู้รักษาประตูเป็นผู้กำกับก็น่าทึ่งพอแล้ว นี่เล่นว่าโค้ชคุมทีมชาติไอซ์แลนด์อย่าง Heimir Hallgrímsson มีอาชีพเสริมเป็น “หมอฟัน” ยิ่งทำให้รู้สึกทึ่งถึงความสามารถที่ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกได้ แถมต่อกรกับทีมระดับโลกได้อย่างสนุกแบบนี้อีกด้วย ถึงแม้ก่อนหน้าที่ทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้นนั้น เขาได้ลาออกจากการเป็นหมอฟันแบบ “เต็มเวลา” เพื่อมุ่งมั่นกับการคุมทีมชาติ แต่เขาก็ยังกลับไปทำงานตรวจคนไข้ที่มีอาการปวดฟันที่คลีนิคในบ้านเกิดในเมือง Vestmanaeyjar ประเทศไอซ์แลนด์แบบ Part-Time อยู่เสมอจนถึงปัจจุบัน
Heimir Hallgrímsson กับผลงานสุดสะเด่าในการคุมทีมชาติไอซ์แลนด์
3. ภูมิอากาศไม่ให้ แต่ “ใจสู้”
ประเทศไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นแทบตลอดทั้งปี จึงไม่เหมาะที่จะมีสนามฟุตบอลกลางแจ้ง เพราะจะทำให้ฝึกซ้อมฟุตบอลได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนต่อปีเท่านั้น ประเทศไอซ์แลนด์จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนการก่อสร้าง “สนามฟุตบอล” กลายเป็น “บ้านฟุตบอล” (Football Houses) ซึ่งใช้งบประมาณในการก่อสร้างที่สูงกว่ามาก เพราะต้องมีหลังคามิดชิดเพื่อป้องกันอากาศที่หนาวจัดและหิมะที่ตกแทบตลอดปี อีกทั้งประเทศไอซ์แลนด์เพิ่งประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจขั้นรุนแรงในช่วงปี 2010-2012 ทำให้การก่อสร้าง “บ้านฟุตบอล” และการสนับสนุนทางด้านการกีฬาต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง นั่นยิ่งทำให้เราฉงนใจว่า “แล้วพวกเอ็งเข็นตัวเองเข้าบอลโลกได้ไงวะ?”
ภาพตัวอย่างของ “Football Houses” ในประเทศไอซ์แลนด์ เพื่อให้สามารถฝึกซ้อมฟุตบอลได้แม้จะมีอากาศที่หนาวเย็นจัดตลอดปี
4. ‘The Big Jump’ in FIFA Ranking
ในปี 2010 ทีมฟุตบอลชายของไอซ์แลนด์มีอันดับใน FIFA Ranking อยู่ที่ 112 (ประเทศไทยในขณะนั้นอยู่ที่อันดับ 120) แต่ในปัจจุบันทีมชาติไอซ์แลนด์ก้าวขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 22 ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ และกำลังฟาดแข้งในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมนุษย์ ถือเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนชาวไอซ์แลนด์ทั้งประเทศที่….
แม้อาจจะเป็นข้อมูลที่ทำเพื่อ “เอาฮา” เป็นหลัก แต่มันก็คงมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
5. มีประชากรทั้งประเทศ 330,000 คน
ถูกต้องแล้วครับ ประชากรทั้งประเทศของไอซ์แลนด์มีอยู่ประมาณ 330,000 คน (น้อยกว่าจำนวนประชากรในทะเบียนราษฎร์ของจังหวัดภูเก็ตเสียอีก) ยิ่งทำให้น่าฉงนสงสัยว่า ประเทศนี้สร้างรากฐานการกีฬาของเขาอย่างไร จึงสามารถที่จะสร้างทีมฟุตบอลทีมชาติของตัวเองให้ก้าวสู่ทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลกที่ทุกคนใฝ่ฝันได้อย่างทุกวันนี้ ถึงแม้จะไม่มีอะไรการันตีว่าความสำเร็จนี้จะยืนยงถาวรได้อย่างยั่งยืน และเราอาจไม่ได้เห็นทีมชาติไอซ์แลนด์ผ่านเข้าไปแข่งขันในฟุตบอลโลกสมัยหน้าในปี 2022 ที่กาตาร์ก็เป็นได้ แต่ความสำเร็จ ณ ปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่นี้ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศเล็กๆ อย่างไอซ์แลนด์ไปตลอดกาลแน่นอนครับ
ว่าแล้ว MenDetails ขอเอาใจช่วยไอซ์แลนด์ให้ผ่านเข้ารอบลึกๆ ของฟุตบอลโลก 2018 ให้ได้นะครับ “สู้ๆ ไอซ์แลนด์!