หากพูดถึงเรื่องการเสพข่าวสารแล้ว จะเห็นว่าผู้คนเปลี่ยนช่องทางในการรับสารไปตามความทันสมัยของเทคโนโลยีครับ เมื่อก่อนเราการฟังข่าวผ่านวิทยุ หรืออ่านข่าวบนหนังสือพิมพ์ แล้วค่อย ๆ พัฒนามาเป็นดูข่าวโทรทัศน์ และในศตวรรษนี้กลายเป็นการเสพข่าวออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ แทน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รู้สึกว่าข่าวสารอยู่รอบตัวเราเสมอ แต่สิ่งที่ MenDetails อย่างให้ทุกคนทำ คือ เช็คข่าวก่อนแชร์ ครับ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการส่งข้อมูลผิด ๆ ให้ไปไกลกว่าเดิม
วิวัฒนาการของช่องทางการเสพข่าวสารในประเทศไทย
การส่งข่าวสารในประเทศไทยมีการพัฒนามาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยและวิวัฒนาการของเทคโนโลยีครับ โดยหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 The Bangkok Recorder ที่ตีพิมพ์ด้วยฝีมือของ Dan Beach Bradley (หมอบรัดเลย์) แต่กว่าจะมาเป็นหนังสือพิมพ์ที่เผยแพร่สู่ประชาชน สามารถหาอ่านได้ทั่วไปในสมัยรัชกาลที่ 5 และเฟื่องฟู่ในรัชกาลที่ 6 ครับ
หลังจากนั้นในไทยก็เริ่มมีวิทยุกระจายเสียงในไทยขึ้น หากใครเคยดูละครเรื่องคู่กรรม ที่ฉากหลังเป็นเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะเห็นว่าในยุคนั้นมีการประกาศข่าวผ่านทางวิทยุแล้วครับ หลังจากนั้นก็มาถึงยุคที่โทรทัศน์เข้ามามีบทบาทในประเทศไทย ช่อง 4 บางขุนพรหม ที่หลายคนเรียกกันติดปาก เริ่มต้นออกอากาศครั้งแรกในปี 2497 ซึ่งตลอดเวลากว่า 60 ปีที่มีสื่อโทรทัศน์ก็จะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองอยู่เนือง ๆ มาตลอด ยุครุ่งเรืองของรายการข่าว คือ ช่วงที่มีโทรทัศน์เสรีในปี พ.ศ. 2535 – 2540 หลังจากนั้นก็มีการหมดสัญญาสัมปทานช่องและเปลี่ยนเข้าสู่ยุคโทรทัศน ดิจิทัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ในที่สุดครับ
แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านการประมูลช่องของโทรทัศน์ ก็เป็นจังหวะที่ข่าวจาก Social ได้รับความนิยมและเข้าถึงคนได้มากขึ้น ข่าวจากออนไลน์น่าจะกระจายไปในวงกว้างจากช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมในปี พ.ศ. 2554 ที่คนสื่อสารกันผ่านแพลตฟอร์ม Twitter และ Facebook เพราะสื่อสารกันได้เร็ว และส่งต่อข่าวไปได้ไว คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับการเสพข่าวจากออนไลน์มากขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ
ข่าวออนไลน์ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เมื่อเกิดเปลี่ยนแปลงของการเสพข่าวจากสื่อหลักอย่างโทรทัศน์หรือวิทยุ มาเป็นเสพข่าวออนไลน์เป็นหลักแทน เราควรรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังจะเสพว่า มันมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไรบ้าง พูดถึงข้อดีของข่าวออนไลน์ที่ชัดที่สุด เป็นเรื่องของความไวครับ เช่น หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน อย่างไฟไหม้ น้ำท่วม หรือเหตุจราจลอย่างโจรปล้นห้าง ข่าวออนไลน์จะรายงานได้ไวกว่าข่าวโทรทัศน์ที่ต้องใช้เวลาทำข่าวอย่างแน่นอนครับ
นอกจากนั้นยังเป็นการสื่อสารสองทาง ไม่สามารถ propaganda ให้คนเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงได้ หากข่าวที่ปล่อยออกมาไม่มีมูลหรือมีโอกาสที่จะเป็นเท็จ จะมีคนอื่น ๆ บนโลกออนไลน์สามารถแย้งและแสดงความเห็นเข้ามาได้เสมอ
ในขณะที่ข้อเสีย คือ ข่าวที่ปล่อยออกมาอาจไม่ได้รับการกรองสักชั้น เมื่อข้อมูลทางออนไลน์ ‘ทุกคน’ สามารถเป็นผู้ส่งสาร เป็นคนกระจายข่าวได้ แปลว่า ความน่าเชื่อถือของข่าวนั้น จะมากน้อยอยู่ที่ตัวบุคคลหรือสำนักข่าวออนไลน์ที่ปล่อยข่าวออกมาครับ ฉะนั้น ก่อนจะทำการส่งต่อข่าว เราต้อง “เป็นคนกรองสาร” เองเสียก่อน เช็คข่าวก่อนแชร์ เป็นเรื่องจำเป็นมากครับ
เช็คข่าวก่อนแชร์ นำ Keyword ของข่าวนั้นเสิร์ชหาแหล่งที่มา
เมื่ออ่านข่าวหนึ่งแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรก คือ นำคีย์เวิร์ดของข่าวไปเสิร์ชต่อ จะเป็น Search Engine ของ Google หรือผ่านช่องเสิร์ชของโซเชียลที่กำลังอ่านข่าวก็ได้ครับ เพื่อเช็คว่าข่าวที่เราเพิ่งอ่านจบนั้น มีที่แหล่งที่มาจากไหน ต้นตอเป็นใคร มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ และเป็นข่าวที่อัพเดทล่าสุดหรือยัง เหตุการณ์จบไปนานแล้วหรือไม่ เพราะหากเป็นข่าวเก่าแล้ว อาจไม่ควรแชร์ต่อในสถานการณ์ที่มีเรื่องเวลามาเป็นตัวแปรครับ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความแตกตื่นหรือสร้างความเข้าใจผิดต่อสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง บางเหตุการณ์ หากผ่านไปแล้วถูกนำมาแชร์ซ้ำ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ครับ เช่น ข่าวพยากรณ์อากาศว่าพายุจะเข้า ถ้าผ่านช่วงเวลาที่คาดการณ์แล้วก็ไม่ควรแชร์ต่อแล้วครับ
ความน่าเชื่อถือของผู้ส่งสาร เช็คว่าผู้เขียนข่าวเป็นใคร
ความน่าเชื่อถือของสื่อหรือแหล่งข่าวออนไลน์ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข่าวครับ ซึ่งเราขอแบ่งประเภทแหล่งข่าวหลัก ๆ ออกเป็น 5 ประเภท คือ
- สำนักข่าวที่มีสื่อหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว และมีออนไลน์เสริมเข้ามา เช่น ไทยรัฐ, ข่าวสด, มติชน, เดลินิวส์ เป็นต้น
- สำนักข่าวออนไลน์ที่เป็น New Media เช่น M-Thai, Workpoint, iLAW, The Standard, ประชาไท เป็นต้น
- ผู้สื่อข่าวที่มี Social Media ของตนเอง
- ประชาชนทั่วไปที่พบและเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง
- ประชาชนทั่วไปที่ได้รับสารจากคนอื่นมาและส่งต่อสารนั้นอีกที
นอกจากนั้นยังมีในเรื่องของ channel ในการเสพข่าวด้วยครับว่าเป็นออนไลน์จากช่องทางไหน อ่านข่าวผ่านเว็บข่าว, Twitter, Facebook Page, Line หรือช่องทางใด ล้วนมีระดับความน่าเชื่อถือมาก-น้อยต่างกันไปครับ ซึ่งข่าวจากทาง Line สุ่มเสี่ยงที่จะโดน Fake News มากพอสมควร เนื่องจากมีการส่งข้อความลูกโซ่บ่อย เน้นปริมาณในการแชร์ออกไป ตัวอย่าง เหตุการณ์ช่วง COVID-19 ระบาดในไทยช่วงแรก ข่าวที่ส่งจากไลน์จะมีข่าวลวงเยอะครับ เกี่ยวกับสถานที่ที่ผู้ติดเชื้อไปหรือจำนวนผู้ติดเชื้อที่อาจคลาดเคลื่อน
ต้องมั่นใจได้ว่ากำลังเสพข่าวที่เป็นกลางและรายงานบนพื้นฐานความจริง
ไม่ว่าจะเสพข่าวจากออนไลน์หรือสื่อหลัก สิ่งสำคัญ คือ ข่าวจากสื่อนั้น ต้อง เป็นกลาง ไม่ใส่อคติหรือความชอบส่วนตัวลงไปจนส่งผลต่อเนื้อข่าว และ รายงานข่าวบนพื้นฐานความจริง ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่บิดเบือนข้อมูล หรือเลือกตัดทอนเฉพาะส่วนที่อาจสร้างความเข้าใจผิดสู่สังคมได้
ความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวหรือสำนักข่าวถือว่าสำคัญมาก ต้องแน่ใจได้ว่าเสพสื่อที่เป็นกลาง รายงานสถานการณ์บนพื้นฐานความจริง ต้องระวังการโดนบิดเบือนข้อมูล หรือเสพข่าวที่มีอคติไปโดยไม่รู้ตัวครับ
คุณสมบัติของสื่อที่ดี คือ ไม่เลือกข้างจนเห็นอคติ ฉะนั้นหากเรากำลังเสพข้อมูลที่รู้สึกว่าใส่ emotional ลงไปหรือดูเข้าข้างบุคคล กลุ่มบุคคลฝ่ายไหนมากไป อาจจะต้อง recheck อีกครั้งว่าเราควรจะเชื่อข้อมูลจากเขาได้แค่ไหน อาจป้องกันปัญหา bias ได้จากการเสพข่าวจากหลายสื่อ หลายช่อง เพื่อที่จะให้แน่ใจว่า สื่อทุกที่ที่รายงาน เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ได้ส่งสารออกมาในทิศทางเดียวกัน ครับ
อย่าเพิ่งแชร์ต่อ หากไม่แน่ใจในความถูกต้องของข้อมูล
‘ความเร็ว’ นั้นเป็นข้อดีอันดับต้น ๆ ของสื่อออนไลน์ แต่ความเร็วก็นับเป็นข้อเสียได้เช่นกัน เราสามารถกดแชร์ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที เพื่อส่งสารต่อไปยังกลุ่มคนที่ติดตามหรือเป็นเพื่อนของเรา และก็สามารถส่งต่อไปยังคนจำนวนมากเป็นทอด ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ตัวอย่างผลจากวิจัยจาก MIT’s Laboratory for Social Machines ที่เก็บข้อมูลของ Twitter ในช่วงปี 2006 – 2017 พบว่า ทวิตเตอร์แพลตฟอร์มที่คนสามารถเข้าถึงข่าวปลอมไวกว่าข่าวจริงถึง 6 เท่าเลยทีเดียวครับ ซึ่งเมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปแล้ว หากเป็นข่าวปลอมก็เท่ากับมีคนรับสารที่ผิดเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยข่าวเท็จ ไม่ให้คนอื่นในสังคมได้รับข้อมูลผิด ๆ เราต้องหาแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือก่อนนะครับ ใช้เวลาสักนิดก่อนกดแชร์ จะช่วยลดอัตราการส่งต่อข่าวสารข้อมูลผิด ๆ ได้เยอะทีเดียวครับ
ที่สำคัญหากแชร์ข้อมูลที่ผิดไปแล้วมาทราบทีหลังว่าเป็นข้อมูลปลอม ข่าวที่ชวนเข้าใจผิด ควร ลบทิ้งทันที ครับ
แม้เราจะไม่ใช่ผู้สื่อข่าวหรือทำอาชีพนักข่าว แต่เราทุกคนล้วนเป็นหนึ่งในกระบวนการสื่อสารและส่งข่าวได้เสมอ ฉะนั้นอย่าลืมเช็คแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือของคนปล่อยข่าวทุกครั้งนะครับ ระวังข่าวปลอม และต้องแน่ใจว่าเราเสพข่าวที่เป็นกลางตามพื้นฐานความจริง โดยไม่โดนบิดเบือดข้อมูลประการใดไปครับ