เกิดเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนวุ่นวายมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ยิ่งถ้าเกิดมาเป็นผู้ชายที่ต้องการจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น และเก่งขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็ย่อมนำมาซึ่งเงื่อนไขและความรับผิดชอบหลายอย่างที่ผู้ชายอย่างเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อเราเลือกเส้นทางเช่นนี้ แน่นอนการจะเป็นผู้ชายที่พิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นๆ เห็นได้จริงว่าเรา “เอาถ่าน” ย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องทำ
อยากมีบ้าน อยากมีรถ
ในความรับรู้ของคนทั่วๆไป การที่จะดูว่าผู้ชายคนไหน “รักดี” และมีความรับผิดชอบจริงๆ หรือไม่นั้น เรามักจะมองกันถึงสิ่งที่เขา “เป็นเจ้าของ” กันเป็นหลัก ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนเราชอบพิจารณาคนกันที่ภายนอกเสียเหลือเกิน แต่กลับกันมันก็คงเป็นเรื่องที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมีมูลความจริงอยู่พอสมควรทีเดียวในแง่มุมของ “การให้คุณค่าของคน” ในสังคมปัจจุบัน
การมีบ้าน มีรถ จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่นั้นมุ่งหวัง ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้ชายเท่านั้นหรอกนะครับ เพราะผู้หญิงที่อยากจะได้ชื่อว่ามีฝีมือและสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ไม่ต่างจากผู้ชาย ก็จะตกอยู่ในสภาพความกดดันคล้ายๆ กันด้วยคำถามที่ว่า “มีบ้าน – มีรถ แล้วหรือยัง?”
ทำไมบ้านและรถคือ “หนี้สิน” ?
มีคนไทยเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่จะสามารถซื้อบ้านและซื้อรถได้ด้วยเงินสดครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์ในคราวเดียว นั่นหมายความว่าการเป็นเจ้าของบ้านและรถจึงกลายเป็นการก่อ “หนี้สิน” ก้อนใหญ่ให้กับตัวเองสำหรับคนส่วนใหญ่ การกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอาจทำให้เรากลายเป็นหนี้ยาวนานถึง 30 ปี ไม่นับค่าบำรุงรักษาบ้านที่จะต้องมีแน่นอนในช่วงระยะเวลานั้นๆ ขณะเดียวกันรถยนต์แม้จะเป็นหนี้สินที่กินเวลาสั้นกว่า แต่กลับเป็นหนี้สินที่แย่กว่าการกู้ซื้อบ้าน นั่นเพราะตัวรถยนต์นั้นจะเสื่อมค่าเสื่อมราคาลงทุกวันๆ ต่างจากบ้านหรือที่ดินที่ถึงแม้เราต้องผ่อนส่งเงินงวดทุกเดือน แต่อย่างน้อยเราก็ยังพอคาดหวังได้ว่าบ้านของเราจะมีราคาเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อยเมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อรายได้ของเราถูกแบ่งออกไปเพื่อ “ผ่อนบ้าน” เป็นเวลานานขนาดนั้น ส่วนที่เหลือก็อาจจะถูกใช้ไปกับการใช้จ่ายทั่วไป รวมถึงค่าบำรุงรักษาที่มีแต่จะสูงขึ้นทุกวันตามสภาพเงินเฟ้อ นอกจากนั้นการอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองทำให้บ้านกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับเราในแต่ละเดือน จริงอยู่ที่ราคาของบ้านอาจจะสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าหากเราต้องการอยู่ที่บ้านหลังนั้นไปเรื่อยๆ เราก็คงยังไม่คิดที่จะขายบ้านเพื่อทำกำไร เช่นนั้นคำถามก็คือแล้วเมื่อไหร่ล่ะที่เราจะได้ชมเชยกำไรที่เกิดขึ้นจากราคาบ้านที่สูงขึ้นเสียที พิจารณาเช่นนี้แล้วการมีบ้าน 1 หลังและรถ 1 คัน สำหรับผู้ชายที่มีหน้าที่การงานธรรมดาทั่วไป อาจทำให้เขาไม่สามารถมีเงินออมก้อนใหญ่ใดๆได้อีกเลยตลอดชีวิตก็เป็นได้ เพราะเงินแทบทั้งหมดจมลงไปกับบ้านที่ตัวเองอาศัย
ทรัพย์สินที่สร้างรายได้
ย้อนกลับมาที่คำถามแรกสุดนั่นก็คือ “สิ่งใดที่ผู้ชาย “ควรมี” ก่อนจะมีบ้านและรถเป็นของตัวเอง?” MenDetails เชื่อว่าผู้ชายควรจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์สินที่สร้างรายได้” ให้กับตัวเองก่อน ประเภทของทรัพย์สินเหล่านั้นได้แก่ ธุรกิจ, อสังหาริมทรัพย์ และตราสารทางการเงินต่างๆ ผู้ชายที่มุ่งหวังความมั่งคั่งและไม่ต้องการที่จะจมเงินทั้งหมดไปกับบ้านเพื่อ “อยู่อาศัยเอง” พวกเขาจะเน้นทุ่มเทเวลาและความพยายามในช่วงแรกของชีวิตการทำงานด้วยการสร้างทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับเขา จนกระทั่งมันสามารถเป็นแหล่งรายได้อีกแหล่งหนึ่งที่ใหญ่พอที่จะนำไปผ่อนบ้านและรถของตัวเองได้ เมื่อนั้นพวกเขาจึงค่อยนึกถึงเรื่องการซื้อบ้านและรถเป็นของตัวเองอีกที
การสร้างทรัพย์สินของแต่ละคนอาจมีวิธีการแตกต่างกันออกไป บางคนชอบทำธุรกิจ, บางคนก็ชอบดูที่ดินหรือดูบ้าน แต่การซื้อบ้านของคนกลุ่มนี้ จะไม่ซื้อเพื่ออยู่เอง แต่จะเป็นการซื้อเพื่อ “ให้เช่า” หรือมองหาลู่ทางที่จะสร้างรายได้จากบ้านหรือที่ดินนั้นๆ และถ้าหากว่าทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ในอนาคตพวกเขาก็สามารถ “ผ่อนบ้านของตัวเอง” ด้วยเงินค่าเช่าที่เขาได้รับจากบ้านหรือที่ดินที่เป็น “ทรัพย์สินที่สร้างรายได้” ของเขาได้ครับ
บทสรุป
ก่อนที่จะก่อหนี้ก้อนใหญ่อย่างบ้านและรถยนต์ (ที่เราต้องการอยู่เอง-ใช้เอง) ลองทบทวนดูอีกสักครั้งว่า เรามี “ทรัพย์สินที่สร้างรายได้” ให้กับตัวเองมากเพียงพอแล้วหรือยัง เพราะถึงแม้ว่าการมีบ้านเป็นของตัวเอง จะนำความสุขและความภาคภูมิใจมาให้เราได้ แต่ในระยะยาวเราอาจทำได้เพียงแค่ชื่นชม “ตัวเลขราคาบ้านของตัวเองที่เพิ่มขึ้น” โดยที่อาจไม่มีโอกาสได้ใช้จ่ายผลกำไรดังกล่าวในสถานะ “ตัวเงิน” จริงๆ อีกเลย จะดีกว่าไหมถ้าจะอดใจรออีกนิดเพื่อมุ่งสร้าง “ทรัพย์สินที่สร้างรายได้” เพื่อมาช่วยผ่อนบ้านของเรา และเรายังสามารถที่จะมีรายได้อย่างต่อเนื่องต่อไป แม้จะผ่อนบ้านหมดแล้วก็ตาม
แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?