หากพูดถึงตำนานที่มีอิทธิพลอย่างมากในโลกดนตรีแนว Electronic ชื่อของคู่หูจากฝรั่งเศส Daft Punk ต้องเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายคนคิดถึงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะทั้งผลงานเพลงขึ้นหิ้งทั้ง 4 อัลบั้ม ที่หลายคนยกย่องถึงจังหวะ กลิ่นอาย การเรียบเรียงเพลง การแต่งกายด้วยหมวกแบบหุ่นยนต์ที่เท่ล้ำยุค ไปจนถึงปรากฏการณ์ในโลกดนตรีที่ทั้ง 2 คนนี้ฝากไว้ตลอด 28 ปี เป็นแรงบันดาลใจสำหรับศิลปินแนว Electronic และ EDM ในเวลาต่อมา
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เพราะเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ทั้งคู่ปล่อยวิดีโอยาว 8 นาทีบน Youtube Channel ชื่อ Epilogue แทนคำบอกลาของพวกเขา ว่าการเดินทางสิ้นสุดลงแล้ว สร้างความตกใจให้กับแฟนเพลงทั่วโลก รวมถึงทีมงาน MenDetails บทความนี้ของเรา จึงเป็นการคารวะศิลปินระดับตำนาน 2 คนนี้ ด้วยการย้อนกลับไปดูต้นกำเนิด ที่มาของวง ปรากฏการณ์และอิทธิพลที่ทั้งสองคนฝากไว้ในโลกดนตรีตลอดเวลาที่ผ่านมา จะมีอะไรบ้าง มาย้อนดูไปพร้อมกันครับ
Daft Punk จุดเริ่มต้นจากการถูกวิจารณ์เละเทะ
จุดเริ่มต้นของตำนานบทนี้ มาจากวง Darlin’ วงดนตรี Indie rock ของ Thomas Bangalter, Guy-Manuel de Homem-Christo และ Laurent Brancowitz ในปี 1992 ทั้งสามคนเป็นเพื่อนกัน เรียนอยู่ที่เดียวกัน มีความชอบทางดนตรีที่คล้ายกัน จึงตั้งวงขึ้นมา โดยชื่อวงเอามาจากเพลงของ The Beach Boys หนึ่งในวงที่พวกเขาชื่นชอบ
ทั้งสามคนปล่อยเพลงของตัวเองออกมาได้สำเร็จ แต่ผลงานของพวกเขาโดนนิตยสารเพลงชื่อดังของฝั่งอังกฤษในสมัยนั้น Melody Maker วิจารณ์เละเทะไม่มีชิ้นดี ถึงกับได้คำนิยามว่า Daft Punky Thrash หรือ เพลงขยะโง่ ๆ
เมื่อผลงานปล่อยออกไปไม่นาน ความสนใจของสมาชิกทั้ง 3 คนในวงเริ่มต่างกัน Thomas Bangalter กับ Guy-Manuel de Homem-Christo เริ่มให้ความสนใจในเพลงแนว Electronic และอยากทำการทดลองกับมัน ขณะที่ Laurent Brancowitz ไม่สนใจในแนวนี้ ทำให้วง Darlin’ แยกทางกันในเวลาไม่ถึงปี
แต่การแยกทางนั้น ทำให้เกิดวงชื่อดังขึ้นมาถึง 2 วง คือ Daft Punk ของ 2 คู่หูที่มาทางสาย Electronic ที่ตั้งวงในปี 1993 และ Phoenix วงน้องชายของ Laurent Brancowitz โดยทั้ง 3 คนยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเรื่อยมา
Homework อัลบั้มเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่
หลังจากที่ Laurent Brancowitz แยกตัวออกไปเรียบร้อย ทั้งสองคนก็ออกเดินทางท่องโลกราตรีในงาน Rave หรือปาร์ตี้ต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยเพลง Electronic ที่พวกเขาชื่นชอบ ในชื่อวงว่า Daft Punk ที่ได้แรงบรรดาลใจมาจากคำวิจารณ์ของนิตยสาร Melody Maker
การเดินทางท่องโลกราตรีของทั้งคู่ ทำให้มีโอกาสเจอกับผู้คนมากมาย และเป็นการสั่งสมประสบการณ์ออกมาเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว ชื่อ The New Wave ในปี 1994 (ส่วน final mix ของเพลงนี้ ที่อยู่ในอัลบั้มแรกของพวกเขา เปลี่ยนชื่อเป็น Alive) ตามมาด้วยเพลง Da Funk ในปี 1995 และมันเป็นเพลงแรกของทั้งคู่ที่ประสบความสำเร็จ โดดเด่นด้วยเสียง Riff และ Bassline จาก synthesizer
สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ให้พวกเขาในช่วงแรกจริง ๆ คือการออกอัลบั้มแรกในชื่อ Homework (1997) ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามถึงสไตล์การทำเพลงของทั้งคู่ มีเพลงฮิตติดชาร์ตในยุคนั้นหลายเพลง และทำให้โลกดนตรีหันมาจับตามองสไตล์เพลง French House โดยเฉพาะเพลง Around The World ด้วยเนื้อเพลงซ้ำ ๆ จำง่าย ใช้เครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้นทำให้เกิดเป็นจังหวะต่าง ๆ
หลังจากความสำเร็จของอัลบั้มแรก ทั้งคู่ก็เดินสายเปิดคอนเสิร์ตทั่วโลก ทำให้ชื่อของ Daft Punk ถูกจับตามองอย่างมากในโลกดนตรี
ภาพลักษณ์หุ่นยนต์ล้ำยุค กับหมวกกันน็อคสุด Iconic
นอกจากงานเพลงแล้ว ภาพลักษณ์ของทั้งคู่ที่ใส่หมวกกันน็อคคล้ายหุ่นยนต์ก็เป็นที่จดจำไม่แพ้กัน พวกเขาเริ่มใช้ภาพลักษณ์นี้ ในอัลบั้มที่ 2 คือ Discovery (2001) ในตอนนั้นพวกเขาให้สัมภาษณ์ว่า เกิดอุบัติเหตุขณะทำเพลง ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ เข้ารับการผ่าตัด พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว แต่ในความจริงมันออกแบบโดย Tony Gardner makeup designer และ special effects designer ชาวอเมริกันที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับทั้งคู่ในอัลบั้มนี้ และยังคงออกแบบหมวกกันน็อคดีไซน์ใหม่ ๆ ในอัลบั้มต่อ ๆ มา
ไม่เพียงแต่หมวกกันน็อคเท่านั้น แต่ในช่วงอัลบั้มที่ 3 Human After All (2005) เป็นต้นมา การแต่งกายของพวกเขาก็ดูเท่ขึ้นด้วย เพราะได้ Hedi Slimane Creative director ของ Saint Laurent ในขณะนั้น มาช่วยออกแบบเสื้อผ้าให้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบ Biker หรือ tuxedo jacket Le Smoking ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเรื่อยมา
Music video ร่วมกับนักวาดมังงะในดวงใจ
Discovery เป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงที่มีกลิ่นอายจากปลายยุค 70s – ต้นยุค 80s จังหวะมีความสนุก กลิ่นอายความล้ำสมัย อัดแน่นด้วยคุณภาพ แนวทางชัดเจน ทำให้เพลงโด่งดังในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเพลง One More Time, Digital Love และ Harder Better Faster Stronger ที่กลายเป็นเพลงกระแสหลักในตอนนั้นทันที
ไม่ใช่แค่เพลง แต่ MV ของเพลงในอัลบั้มนี้ก็โดดเด่น เพราะถูกเล่าผ่านภาพยนตร์อนิเมชั่น Interstella 5555: The 5tory of the 5ecret 5tar 5ystem ในปี 2003 ด้วยความต้องการของทั้งสองคนที่อยากจะผสมผสานความ Sci – fi เข้ากับความบันเทิงอย่างอนิเมชั่นของญี่ปุ่น จึงเดินทางไปยังโตเกียวเพื่อพบนักวาดในดวงใจสมัยวัยเด็กของพวกเขา Leiji Matsumoto ให้มาช่วยดูแลงานภาพ และยังได้สตูดิโอ Toei Animation ที่มีผลงานอนิเมชั่นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Sailor Moon, Dragon Ball, One Piece หรือ Pretty Cure มาทำการผลิตอนิเมชั่นประกอบเพลง ทั้งคู่ยังแอบไปเป็น Cameo ในอนิเมชั่นด้วย
การแสดงสดสุดอลังการของ Daft Punk
อัลบั้ม Human After All เป็นอัลบั้มที่ได้รับคำวิจารณ์กลาง ๆ เทียบกับอัลบั้มอื่น เพราะหลายคนมองว่ามันซ้ำ ไม่มีอะไรใหม่ บวกกับเวลาที่ใช้ในการเขียนและอัดเพลงแค่ 6 สัปดาห์ ทำให้หลายคนรู้สึกถึงความรีบในการสร้างผลงาน แต่เพลงในอัลบั้มอย่าง Robot Rock, Technologic และ Human After All ก็ยังคงฮิตติดชาร์ตในหลายประเทศ
ในปีเดียวกันนั้น ทั้งสองคนได้พิสูจน์ความสามารถอีกครั้ง เมื่อทั้งสองเริ่มออกแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลกเป็นเวลา 2 ปี ภายหลังเรียกชื่อคอนเสิร์ตว่า Alive 2006/2007
การแสดงครั้งแรกจัดขึ้นที่งานเทศกาล Coachella งานเทศกาลดนตรีและศิลปะของอเมริกาที่มีผู้เข้าชมมากมาย และตลอดการทัวร์ พวกเขาได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมด้วยเพลงที่นำมา remix ใหม่ แสง สี ที่ใช้ในการโชว์ การออกแบบโชว์สุดล้ำ เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของการโชว์ ทำให้ทัวร์คอนเสิร์ตประสบความสำเร็จ ได้รับคำชื่นชมจากสื่อทั่วโลก
อัลบั้ม Alive 2007 เป็นอัลบั้มที่อัดการแสดงสดของพวกเขาใน Paris ปี 2007 ในช่วงที่ออกทัวร์ ยังทำให้ทั้งคู่ได้รับรางวัล Grammy Award สาขา Best Dance/Electronic Album ในปี 2009 อีกด้วย
หลังจบทัวร์ ทั้งคู่ไปร่วมงานกับ Disney ในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ Tron: Legacy (2010) ภาพยนตร์ Action Sci – fi ในการทำเพลงที่มีความเป็น Electronic เข้ากับความอลังการของวงออเครสตรา ออกมาเป็น Original Soundtrack ที่ยิ่งใหญ่ ได้รับคำชมอย่างมาก แถมพวกเขายังแอบไปเป็น Cameo เป็น DJ ในภาพยนตร์ด้วย
สู่จุดสูงสุดด้วย Random Access Memories
ในปี 2013 ทั้งคู่ปล่อยอัลบั้มที่ 4 ที่เป็นอัลบั้มสุดท้าย ออกมาในชื่อ Random Access Memories อัลบั้มที่มีความเป็น Disco ผสานความเป็น Progressive rock และเพลง Pop ในจังหวะสนุก ๆ ชวนโยก ด้วยกลิ่นอายเพลงจากปลายยุค 70s – ต้นยุค 80s ของอเมริกัน เป็นอัลบั้มที่ Daft Punk แสดงผลงานที่ผ่านประสบการณ์บนเส้นทางดนตรีของพวกเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยการใช้เครื่องดนตรีสดมาอัดเสียง คู่ไปกับการใช้เครื่องมือไฟฟ้า และถือว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของพวกเขา
อัลบั้มนี้ทั้งสองคนได้ร่วมงานกับเหล่าคนในวงการดนตรีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Pharrell Williams, Nile Rodgers ฟร้อนแมนวง Chic, Giorgio Moroder และ Paul Williams มาสร้างสรรค์เพลงในอัลบั้มนี้
โดยเฉพาะเพลง Get Lucky ที่ร่วมกับ Pharrell Williams และ Nile Rodgers นั้นได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย เรียกได้ว่าในปีนั้น ไม่ว่าเราไปที่ไหน ก็จะได้ยินเพลงนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าคุณจะไม่รู้จัก Daft Punk ก็ตาม อัลบั้มนี้ยังกวาดรางวัลในงาน Grammy Award ครั้งที่ 56 มาได้อีกหลายรางวัล หนึ่งในนั้นคือรางวัลใหญ่ Album of the Year ส่วนเพลง Get Lucky ก็ไม่น้อยหน้า คว้ารางวัล Record of the Year ไปครอง
หลังจากที่ประสบความสำเร็จจนเรียกได้ว่าขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว แม้ไม่มีผลงานใหม่ออกมา แต่ทุกครั้งที่พวกเขาไปร่วมงานกับใครก็จะถูกจับตามองเสมอ เช่น การร่วมงานกับ Kanye West ในอัลบั้ม Yeezus (2013) ในการร่วมสร้างสรรค์เพลงในอัลบั้ม หนึ่งในนั้นคือ I am a God ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ หรือจะเป็นในปี 2016 ที่ร่วมงานกับ The Weeknd ในเพลง Starboy และ I Feel It Coming ที่นับว่าเป็นซิงเกิ้ลสุดท้ายของพวกเขา
หลังจากนั้นก็มีข่าวลือเป็นระยะว่าพวกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตเพลงในอัลบั้มที่ 5 ซึ่งตอนนี้เราคงรู้แล้วว่า การเดินทางของ Daft Punk จบลงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2021 เมื่อวิดีโอยาว 8 นาที ชื่อ Epilogue ที่ตัดฉากมาจากภาพยนตร์ Electroma ของพวกเขา เป็นคำบอกลาสุดท้าย สำหรับการเดินทางตลอดระยะเวลา 28 ปี
ผลงานของ Daft Punk ได้สร้างปรากฏการณ์ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวเพลง Electronic และ EDM ตลอดเส้นทางดนตรีของพวกเขา รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับ DJ และศิลปินเพลง Electronic ทั่วโลก เพลงของพวกเขายังถูกนำมา Remix และ Cover ในหลาย version
แม้การเดินทางจะสิ้นสุดลง แต่ผลงานที่พวกเขาฝากเอาไว้ในโลกดนตรี ยังคงถูกจารึกไว้อีกแสนนาน ในฐานะคู่หูมากฝีมือ และแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง ในตอนนี้เราก็หวังว่าในอนาคตคงจะได้พบพวกเขาอีกในฐานะอื่น ๆ ที่ต่างไปจากนี้บนเส้นทางดนตรีครับ