False Bargain คือ มายาคติของราคาประหยัด ที่พูดถึงเหตุการณ์ทางจิตวิทยาของมนุษย์ว่าเรามักจะตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาถูกมาก ๆ ได้ง่ายกว่าการซื้อสินค้าที่มีราคาแพง แต่ผลสุดท้ายกลับพบว่าสินค้าหรือบริการที่ได้รับมานั้นกลับไม่มีคุณภาพและชำรุดเสียหายในวันเวลาอันสั้น กลายเป็น “ของราคาถูกที่ไม่ได้ถูกจริง” จนทำให้เราต้องซื้อของใหม่อยู่เรื่อย ๆ ไม่มีจบสิ้น ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยประสบสถานการณ์เช่นนี้ วันนี้ MenDetails จะมาแชร์ประสบการณ์ของเรากับมายาคตินี้ พร้อมทั้งนำเสนอทางสายกลางที่เราเชื่อว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน
ประสบการณ์ False Bargain จากนาฬิกาเรือนละ 300 บาท
ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องนี้ ในหลากหลายโอกาส หนึ่งในเหตุการณ์ที่ประทับใจคือการซื้อ “นาฬิกาข้อมือ” เรือนแรกด้วยตัวเอง โดยเป็นการซื้อนาฬิกาประเภทบอกเวลาแบบดิจิตอลในตลาดนัดใต้สะพานข้ามแยกแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร นาฬิกาเรือนดังกล่าวมีราคา 300 บาท และมีดีไซน์ที่ถูกใจ ผู้เขียนจึงตัดสินใจซื้อมา
น่าเสียดายที่นาฬิกาเรือนดังกล่าวใช้งานได้ประมาณ 6 เดือน หน้าจอบอกเวลาก็ค่อย ๆ เลือนราง ตอนแรกผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเพราะแบตเตอรี่ของนาฬิกาเริ่มอ่อนแรง จึงได้นำนาฬิกาไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ แต่หลังจากเปลี่ยนแล้วก็ไม่ได้มีอาการที่ดีขึ้นนัก หน้าจอแสดงผลเริ่มผิดเพี้ยน และสุดท้ายก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อีกต่อไป สิริรวมอายุการใช้งานได้ประมาณ 9 เดือน
หากมองเรื่องนี้ให้ดี การใช้งานนาฬิการาคา 300 บาทได้ 9 เดือน เทียบเท่ากับมูลค่าการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 1 บาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ประหยัดมากแล้ว และด้วยราคาเพียง 300 บาทนี้เองจึงทำให้เราเองไม่รู้สึก “เสียดาย” มากเท่าไหร่นักหากว่าเผลอทำหายหรือหากนาฬิกาจะ “เจ๊ง” ในเวลาอันสั้นเช่นนี้
จากนาฬิกา 300 บาทเป็นนาฬิการาคา 2,000 บาท
ระยะเวลา 9 เดือนกับการใช้นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน และเงิน 300 บาท ไม่ได้ให้บทเรียนอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่นักกับผู้เขียนในขณะนั้น จนกระทั่งได้เริ่มศึกษาและรู้จักนาฬิการูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นและได้ตัดสินใจซื้อนาฬิกาบอกเวลาแบบ Digital ยี่ห้อ Casio G-SHOCK รุ่นพื้นฐานใน Series DW ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีราคาประมาณ 2,000 บาท ถือเป็นจำนวนเงินที่ขยับขึ้นจาก 300 บาทเกือบ 7 เท่าตัว แต่ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์และดีไซน์ที่คลาสสิกของนาฬิกา ผนวกกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มทำงานหาเงินเอง ทำให้ผู้เขียนมองว่า ตัวเลข 2,000 บาท แม้จะเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นกว่าเรือนก่อนมาก แต่ก็อยู่ในวิสัยที่ “รับได้”
จากวันนั้นถึงวันนี้ผู้เขียนใช้นาฬิกา Casio G-SHOCK ราคา 2,000 บาท เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ผู้เขียนยังไม่เคยนำนาฬิกาไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ การบอกเวลายังคงถูกต้อง และการทำงานทุกอย่างยังปกติทุกประการ หนำซ้ำยังใช้งานแบบสมบุกสมบันด้วยชื่อเสียงในเรื่อง อึด ถึก ทน ของ G-SHOCK ที่ทำให้ผู้เขียน “หลงระเริง” ใช้งานโดยไร้ความรู้สึกทะนุถนอมอยู่เนือง ๆ
หากมองเรื่องนี้ให้ดี การใช้งานนาฬิการาคา 2,000 บาทได้ 5 ปี เทียบเท่ากับมูลค่าการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 1 บาทต่อวัน ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับนาฬิกามูลค่า 300 บาทที่อยู่ได้ 9 เดือน แต่นาฬิการาคา 2,000 บาทนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะชำรุดเสียหาย และถ้านาฬิกายังคงใช้งานต่อไปได้เรื่อย ๆ เช่นนี้ มูลค่าการใช้งานเฉลี่ยในอนาคตก็จะลดลงเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดเช่นกัน
ถึงจุดนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนนึกย้อนไปหานาฬิกาเรือนละ 300 บาทเรือนนั้น และได้บทเรียนในใจว่า นี่แหละคือ “มายาคติของราคาประหยัด” ที่เราได้เรียนรู้ด้วยตัวเองในที่สุด
“ทางสายกลาง”
รู้เท่าทัน False Bargain โดยไม่ตกเป็นเหยื่อบริโภคนิยม
การที่ MenDetails พูดถึง มายาคติของราคาประหยัด ไม่ได้เป็นความพยายามที่จะประกาศจุดยืนว่าเราทุกคนจะต้องซื้อแต่สินค้าหรือบริการในราคาสูง ๆ เพราะวิถีทางแบบนั้นก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเราจะได้ของดีมีคุณภาพสูงและคุ้มราคาที่เราจ่ายเสมอไป หนำซ้ำยังอาจจะตกเป็นเหยื่อของลัทธิบริโภคนิยม หรือ Consumerism ได้อีกด้วย ทางที่ดีกว่าคือการหาทางสายกลางของตัวเองเพื่อรู้เท่าทัน False Bargain ด้วยวิธีการที่ผู้ชายทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ดังนี้ครับ
1. รู้จักสไตล์ของตัวเองอย่างแท้จริง
ผู้ชายที่ยังไม่ค้นพบแนวทางและสไตล์การใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองจริง ๆ นั้น จะเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะได้รับบทเรียนจากทั้ง False Bargain และบริโภคนิยม นั่นเพราะเขาอาจจะมาค้นพบภายหลังว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เขาซื้อหามานั้น ไม่ได้เป็นตัวตนของเขาเองจริง ๆ สุดท้ายกลายเป็นการซื้อมาเก็บไว้เฉย ๆ โดยที่เราไม่ได้นำออกมาใช้งาน ในกรณีเช่นนี้ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะมีราคาถูกแค่ไหนหรือจะแพงและมีคุณภาพดีเพียงใด ย่อมไม่มีประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไปเมื่อเราไม่ได้ใช้มัน
กลับกันผู้ชายที่ค้นพบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต รวมถึงการแต่งกายที่ “Settled” หรือ คงที่ถาวรแล้ว แม้อาจเปลี่ยนแปลงได้บ้างในอนาคต แต่ก็จะไม่ใช่การเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมืออีกต่อไปแล้ว ผู้ชายกลุ่มนี้จะสามารถซื้อสินค้าและบริการโดยมองข้ามช็อตไปอีกเป็นเวลาหลาย ๆ ปี ด้วยความมั่นใจว่าเขาจะยังคงใช้งานสิ่งที่เขาซื้อมานี้อยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ชายกลุ่มนี้จะกล้าเพิ่มจำนวนเงินในการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น หากว่าจะสามารถแลกมาด้วยคุณภาพและการใช้งานที่ยาวนาน คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจริง ๆ ซึ่งนั่นจำเป็นที่จะต้องอาศัยข้อที่สองตามมา
2. ศึกษารายละเอียดของสิ่งที่เราจะซื้อ ให้ลึกและรอบคอบขึ้น
ย้อนกลับไปหานาฬิการาคา 300 บาทของผู้เขียนอีกครั้ง ในขณะนั้นผู้เขียนไม่มีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับนาฬิกาข้อมือของผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้เขียนเพียงแค่เห็นว่า “เรือนนี้สวยดี แถมราคาประหยัดสุด ๆ แค่ 300 บาทเอง” จากนั้นก็ซื้อทันทีโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นยี่ห้ออะไร ผลิตที่ไหน และจะใช้งานได้นานแค่ไหน เรียกว่าเป็น Blind Buy หรือซื้อแบบ “ปิดตาซื้อ” โดยแท้จริง
การซื้อแบบ “ปิดตาซื้อ” ของผู้เขียน ส่งผลเสียอย่างยิ่งในเวลาต่อมาดังที่ได้บรรยายไปแล้วข้างต้น แต่ถ้าผู้เขียนใส่ใจสักนิด และกลับไปศึกษานาฬิกาประเภทเดียวกันที่มีตราสินค้าน่าเชื่อถือ และมีข้อมูลที่สามารถอ้างอิงได้ ที่สำคัญยังเป็นนาฬิกาฉบับคลาสสิกที่สามารถใช้งานไปได้อีกนาน เช่นนี้แล้วก็จะไม่ติดกับดักของมายาคตินี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วหากมองให้แง่ดีบทเรียนในครั้งนี้มีราคาประมาณ 300 บาท ซึ่งถือว่าเป็นบทเรียนที่มีราคาไม่แพงนัก และช่วยสอนใจให้เราต้องศึกษาข้อมูลของสินค้าหรือบริการที่เราอยากจะซื้อเสมอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
3. ราคาสูงด้วยคุณภาพ หรือ ด้วยตราสินค้า?
หลังจากที่เราค้นพบสไตล์ของตัวเองและค้นคว้าข้อมูลของสินค้าหรือบริการที่เราอยากซื้อได้แล้วนั้น เราจะพบว่ามันจะมีสินค้าที่มีราคาสูงจนน่าตกใจเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเราเสมอ คำถามที่ผู้ชายทุกคนควรถามตัวเองก็คือ โดยหลักการแล้วสินค้าชิ้นดังกล่าวนั้น “ราคาสูงด้วยคุณภาพที่สูง” หรือ “ราคาสูงด้วยตราสินค้าที่โด่งดัง”? ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ความรู้ความชำนาญที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเช่นกัน
ยกตัวอย่างสินค้าบางชิ้นที่วางขายในร้านที่เราเชื่อถือ แต่เป็นตราสินค้าที่เราแทบไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน และมีราคาที่สูงอย่างน่าประหลาดใจ การวางขายในร้านดังกล่าวอาจทำให้เราไม่สงสัยติดใจนักในเรื่องการหลอกขายของแพงเกินจริง แต่คำถามที่ตามมาคือ “ทำไมมันถึงแพง?” ซึ่งส่วนใหญ่คำตอบที่ได้มักจะเป็นเรื่องเชิงคุณภาพ เช่น วัตถุดิบที่หายาก, ความสวยงามที่เหนือกว่า, ขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อน และความทนทานในการใช้งาน เป็นต้น
กลับกันสินค้าประเภทเดียวกันและมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน แม้มีคุณภาพที่ดีเยี่ยม แต่อาจไม่ได้ทำด้วยวัตถุดิบหายาก หรือมีการผลิตที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเท่าไหร่นัก เมื่อมีตราสินค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหรือขึ้นชื่อในเรื่องของความหรูหราติดอยู่ที่ตัวสินค้า ปัจจัยดังกล่าวก็ยิ่งเสริมทำให้ราคาของสินค้าชิ้นนั้นพุ่งทะยานได้อย่างน่ากลัวเช่นกัน
ทางออกที่ดีจึงเป็นการศึกษาให้รอบคอบขึ้นอีก ว่าสินค้าราคาสูงชิ้นดังกล่าว มีคุณค่า (Value) ทั้งในเชิงคุณภาพและในเชิงจิตใจที่ “คุ้ม” กับเงินที่เรากำลังจะจ่ายออกไปหรือไม่ ของบางอย่างอาจมีคุณภาพดีเยี่ยม แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่เราชอบ กลับกันของบางชิ้นแม้ไม่ได้มีคุณภาพที่สูงนัก แต่มีเหตุผลและคุณค่าทางด้านจิตใจที่สูงลิ่ว อาจจะด้วยความชื่นชอบหรือรสนิยมส่วนตัวในตราสินค้านั้น หรือหากเราค้นคว้าข้อมูลก็จะพบว่าสินค้าบางชนิดนั้น ทางแบรนด์ราคาแพงเป็นผู้คิดค้นหรือเป็น “ต้นตำรับ” ในการผลิตสินค้าประเภทดังกล่าวเป็น “คนแรกของโลก” สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราตัดสินใจ “ลงทุน” กับสินค้ามีแบรนด์ได้เช่นกัน ทั้งหมดจึงต้องอาศัยการพิจารณาให้รอบคอบด้วยการศึกษาค้นคว้าข้อมูล และชั่งน้ำหนักเหตุผลแต่ละด้านให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ
4. เสียใจแค่ไหน ถ้าพรุ่งนี้ของหาย
เมื่อศึกษาข้อมูลจนมั่นใจว่าตัวเองกำลังจะซื้อของคลาสสิกที่ตรงกับสไตล์ของเรา มีตราสินค้าที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งเป็นของดีที่มีคุณภาพ ใช้งานได้คงทนยาวนาน แม้จะมีราคาไม่ถูกจะต่ำติดดิน แต่มั่นใจได้ว่าคุณภาพที่ได้รับนั้นจะคุ้มกับราคาที่จ่ายไปจริง ๆ แต่คำถามสุดท้ายที่เราควรถามตัวเองอีกครั้งก่อนควักสตางค์ซื้อ นั่นคือคำถามเชิงจิตวิทยาว่า “เราจะรู้สึกเสียใจและเสียดายแค่ไหน ถ้าในวันพรุ่งนี้ ของชิ้นนี้เกิดหายไปอย่างถาวร?”
อย่าลืมว่าเรากำลังพยายามหา “ทางสายกลาง” ระหว่างกับดักของ False Bargain และ Consumerism ดังนั้นหากการซื้อสินค้าราคา 100,000 บาท ที่ตอบโจทย์เราทุกอย่าง แล้วสมมติว่าพรุ่งนี้ของชิ้นนี้เกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย การหายไปของมันจะทำให้เราเกิดความรู้สึกเสียดายและเสียใจอย่างแสนสาหัส นั่นแปลว่าเรากำลังจะซื้อสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของเรา และของชิ้นนั้นกำลังจะมาเป็น “เจ้านาย” ของเรามากกว่าที่เราจะเป็นเจ้านายของมัน คำแนะนำของ MenDetails คือให้มองหาตัวเลือกอื่นที่มีราคาต่ำกว่านั้น จนกว่าจะมาถึงระดับราคาที่เรารู้สึกว่า “ถ้าซื้อมาแล้วพรุ่งนี้เกิดทำหายไปจริง ๆ อาจจะรู้สึกเสียดาย แต่จะไม่เสียใจขนาดนั้น และยังพอซื้อใหม่ได้” นั่นแหละครับคือสินค้าและระดับราคาที่เป็น “ทางสายกลาง” ของตัวคุณเอง
สำหรับบางคนแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาจเพราะหลายคนมีความตั้งใจว่าจะใช้สินค้าเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นแล้วก็ตั้งใจจะทิ้ง หรือขายต่อ หรือบริจาค ในเวลาอันสั้น แต่สำหรับใครที่คาดหวังในเรื่องของคุณภาพและการใช้งานที่คุ้มค่าคุ้มราคาในระยะยาว False Bargain คือปรากฎการณ์ที่เราควรหลีกเลี่ยง แต่ไม่ใช่ด้วยการมุ่งแต่จะซื้อเพียง “ของแพง ๆ” แต่อย่างใด การศึกษาข้อมูลและหา “ทางสายกลาง” ที่ลงตัวที่สุดของตัวเอง คือสิ่งที่ MenDetails เชื่อว่าจะแก้ปัญหาเรื่องมายาคตินี้ ได้อย่างยั่งยืนในที่สุดครับ