วนกลับมาถึงเทศกาลแห่งความรักกันอีกครั้ง โดยหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตสำหรับคู่รักในวันวาเลนไทน์ คือ การชมภาพยนตร์ด้วยกันครับ แต่ถ้าวาเลนไทน์นี้คุณต้องอยู่คนเดียวไม่ได้ออกไปเดทที่ไหนแล้วอยากหาหนังรักดี ๆ สักหนึ่งเรื่องดูเพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจความรักมากขึ้น MenDetails.com ขอแนะนำ 5 หนังรักอกหัก ที่จะทำให้เราดำดิ่งไปในห้วงของความรู้สึกและได้ข้อคิดดี ๆ กลับมาปรับใช้ครับ
Ruby Sparks (2012)
Ruby Sparks หนังที่ถ่ายทอดมุมมองความรักออกมาได้ล้ำลึกและแทงใจดำอย่างเหลือร้ายที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่เคยชม ผลงานจากผู้กำกับเรื่อง Little Miss Sunshine เป็นเรื่องราวของ คาลวิน นักเขียนหนังสือที่เริ่มฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาจินตนาการขึ้นมา และนำคาแรคเตอร์นั้นไปเขียนเป็นนางเอกในนวนิยายของตัวเอง วันหนึ่ง รูบี้ สปาร์ค ปรากฏขึ้นต่อหน้าในโลกแห่งความจริง และมีรูปลักษณ์จนถึงลักษณะนิสัยทุกอย่างเหมือนกับที่คาลวินบรรยายเอาไว้
ความสัมพันธ์ของคาลวินและรูบี้ สะท้อนความสัมพันธ์ของความรักต่างวัยหรือช่วงการเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่วัยทำงานอย่างชัดเจน รูบี้เป็นเหมือนตัวแทนของคนที่รักอิสระ ในขณะที่คาลวินค่อนข้างจะยึดติดในการใช้ชีวิตร่วมกับเธอสองคน ไม่อยากให้แฟนออกไปใช้ชีวิตโดยไม่มีตัวเองไปด้วย
ในความจริงแล้วโลกของคนวัยทำงานไม่ได้มีแต่ความรัก เราไม่สามารถทุ่มความรู้สึกทุกอย่างไปกับเรื่อง ๆ เดียวได้ เพราะยังมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ และนอกจากการใช้เวลาร่วมกับแฟนแล้ว เราก็ยังแบ่งเวลาไปเข้าสังคม เจอเพื่อนฝูง คนที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งรู้จักคนใหม่ ๆ ด้วยครับ
หากเราเอาแต่ยึดติดกับคนรัก กลัวว่าการให้เธอเขาสังคม จะเป็นการเปิดโอกาสให้ไปรักไปชอบกับคนอื่นได้ ก็คงยากที่จะประคับประคองความสัมพันธ์ให้อยู่รอด เพราะไม่มีใครที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงสองคนได้หรอกครับ
และสำหรับเรื่องการคบกันแล้ว เราเชื่อว่ามันมักจะมีอะไรในตัวอีกฝ่ายที่หลาย ๆ คนอยากเปลี่ยนแปลง อาจจะเผลอคิดไปว่า ‘ถ้าเปลี่ยนนิสัยนั่นนิสัยนี่ของแฟนได้ก็คงจะดี’ แต่อยากให้ลองคิดต่อไปอีกสักหน่อยครับว่า หากสามารถปรับเปลี่ยนทุกสิ่งของคนรักได้ตามใจเราเพียงแค่ปลายนิ้วพิมพ์จริง ๆ สุดท้ายแล้วจะยังหลงเหลือความเป็นตัวตนของเธออยู่อีกไหม อาจถึงกับเกิดคำถามว่า เรารักใครสักคนเพราะอะไรกันแน่? เพราะว่านั่นเป็นตัวเธอ หรือว่าเพราะเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราอยากให้เป็น
ช่วงองค์หนึ่งของหนังอาจดำเนินเรื่องราบเรียบไปสักหน่อย แต่ก็ค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ไปได้ดี นักแสดงสามารถทำให้อินไปกับเรื่องราวได้จนกลายเป็นหนังที่ติดอยู่ในใจได้นานกว่าที่คิด เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องประทับใจและได้เรียนรู้มุมมองความรักที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นจาก Ruby Sparks อย่างแน่นอน
Her (2013)
เมื่อพูดถึง Her บางคนอาจจะเรียกว่าหนังประจำชาติคนเหงา แต่หากหยิบกลับมาดูอีกครั้งจะพบว่ามันอาจเป็นหนังสำหรับคนที่ไม่กล้าพาตัวเองไปเผชิญกับความสัมพันธ์จริง ๆ ก็ได้ครับ ผลงานจากผู้กำกับ Spike Jonze ที่เล่าเรื่องราวของนักเขียนจดหมาย ธีโอดอร์ ผู้ซึ่งตกหลุมรักระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ (OS) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ซาแมนธา
Her เป็นหนังที่ทำให้เรานึกถึงความรักของวัยรุ่น รักที่ไม่อยากแยกตัวอยู่ห่างกัน รักที่ตกหลุมรักขณะที่ได้เรียนรู้แต่ข้อดีของกันและกันครับ ธีโอดอร์มีความรู้สึกพิเศษกับซาแมนธาได้เริ่มต้นจากความใกล้ชิดที่เธอ stand by อยู่พร้อมเพื่อคุยกับเขาเสมอ โดยที่เธอรับฟังปัญหาทุกอย่างของธีโอดอร์
ธีโอดอร์อาจเป็นตัวแทนของคนที่ไม่กล้าเผชิญความสัมพันธ์ที่แท้จริงคนหนึ่ง เพราะบางคนพร้อมจะอยู่กับความรักเฉพาะตอนที่มีความสุข ช่วงที่ไม่มีปัญหา ระหว่างสองคนมีแต่รอยยิ้มและความเข้าใจ แต่พอเริ่มมีปากเสียง ทัศนคติไม่ตรงกันในมุมมองการดำเนินชีวิต หรือทิศทางของความสัมพันธ์ กลับเลือกที่จะหนีปัญหาหรือจบความสัมพันธ์ตรงนั้นเสีย
ความจริงแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่จะราบรื่นตลอดไป เราจำเป็นต้องเรียนผูกและเรียนแก้กับคนรัก ถึงจะทำให้ก้าวข้ามปัญหาต่าง ๆ ไปด้วยกันได้ครับ
และหนึ่งข้อสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปได้ คือ ความเคารพความเห็นของอีกฝ่าย ในวันที่ธีโอดอร์มีความต้องการทางร่างกาย ซาแมนธากลับไปหาผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นตัวแทนของเธอ เพื่อหวังว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นขึ้น แต่ที่จริงนั่นเป็นความต้องการของเธอเพียงฝ่ายเดียว และมันเกิดปัญหาเพราะเธอไม่พยายามรับฟังความเห็นของธีโอดอร์เลย
เรื่องที่เราต้องการทำ อาจจะไม่ตรงกับความต้องการของอีกฝ่ายเลย หรือสิ่งที่เธออยากทำ เราอาจไม่เห็นด้วยเลยก็ได้ นั่นแหละครับความยากในการคบใครสักคน ฉะนั้นการเคารพซึ่งกันและกัน การปรับจูนและหาตรงกลางของแต่ละเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องหาให้เจอว่าจุดไหนคือจุดที่ทั้งสองคนโอเคกับมัน
ส่วนในเรื่องของการตกหลุมรักใครสักคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน อาจเป็นเครื่องสะท้อนว่า เราทุกคนต่างต้องการใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นได้ครับ ยามที่เรามีปัญหา หากหันไปพบใครคนหนึ่งนั้นที่อยู่ข้าง ๆ มาตลอดก็คงไม่แปลกที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดี ๆ
500 Days of Summer (2009)
คงต้องบอกว่า 500 Days of Summer เป็นหนังที่เราเข้าใจมันมากขึ้นทุกครั้งหลังอกหัก เมื่อจบความสัมพันธ์และเริ่มใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง ทำให้เห็นหลากหลายมิติที่หนังพยายามสื่อสารออกมาผ่านตัวละครทอม แฮนเซ่น และซัมเมอร์ ฟินน์
500 วันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทอมเริ่มตกหลุมรักซัมเมอร์ไปจนถึงวันสุดท้ายที่เขาพยายามตัดใจ ครั้งแรกที่ดูหลายคนอาจตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘เราคือทอมหรือซัมเมอร์ในความสัมพันธ์ครั้งนี้ ?’ แต่แท้จริงแล้วเราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีมุมของทอมและซัมเมอร์ในตัวกันทั้งนั้นครับ
หลายคนคงเคยเป็นคนที่เชื่อในพรหมลิขิตและคนที่ใช่มาก่อน ความรู้สึกที่ว่าเห็นหน้าคน ๆ นี้แล้วตกหลุมรัก โลกทั้งใบเป็นของเธอคนเดียว การได้พบกันเป็นโชคชะตา ซึ่งบางคนอาจ’เคย’เชื่อ ยังเชื่ออยู่ หรือไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยก็ตาม หากเรียกว่าพรหมลิขิต มันอาจจะดูคลั่งรักไปสักหน่อยครับ แต่คงต้องยอมรับว่าเรื่องของจังหวะเวลานั้นมีอยู่จริงเสมอ
หากเราไม่ได้ไปในที่แห่งนั้น ณ เวลานั้น หากเราตัดสินใจใช้วันหนึ่งวันนั้นในรูปแบบอื่น เราอาจไม่ได้รู้จักกับคนรักของก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ทอมเคยเชื่อ และซัมเมอร์เพิ่งจะยอมรับมันในวันที่เธอได้พบกับสามีของเธอ เรามองว่าคนเราจะเชื่อในโชคชะตาก็ต่อเมื่อตอนได้พบกับความรักที่สมหวังและรู้สึกพึงพอใจกับมันนั่นเองครับ
การเป็นคนที่รักอิสระและมองว่าความสัมพันธ์นั้นวุ่นวาย อาจเกิดขึ้นจากความผิดหวังกับความสัมพันธ์มานับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นสาเหตุที่ซัมเมอร์ไม่ต้องการหาบ่วงมาผูกคอตัวเองไว้ เธอบอกไว้ชัดตั้งแต่ต้นเรื่องว่าเธอไม่อยากมีแฟน แต่ทอมก็นึกว่าจะเอาชนะใจเธอจนสามารถคบกันได้ในที่สุด
ความจริงอีกข้อหนึ่งที่ได้เรียนรู้อย่างชัดเจนอย่างหนังเรื่องนี้ คือ การจัดการความรู้สึกนั้นเป็นความยุ่งยากทางใจอย่างมากเลยล่ะครับ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าตื่นขึ้นมาแล้วความรู้สึกที่มีในวันนี้จะคงอยู่ตลอดไป
เราเชื่อว่าในช่วงเวลาหนึ่งซัมเมอร์ก็ตกหลุมรักทอมเช่นกัน แต่ไม่มากพอจะก้าวข้ามความกลัวบางอย่าง เธอยังรักอิสระมากกว่าทอม ผลจึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนต้องเลิกลากันไป 500 Days of Summer เป็นหนังที่ไม่ว่าจะเปิดดูกี่ครั้งก็สามารถทำให้เรารู้สึกแตกต่างจากเดิมอยู่เสมอ เรื่องราวความสัมพันธ์ที่พานพบทำให้ได้เห็นมุมมองอื่น ๆ ของทอมและซัมเมอร์ที่อาจเคยมองข้ามไป
One Day (2011)
One Day ที่มาจากวันเดียวของทุก ๆ ปีที่เอ็มมา มอร์ลีย์และเด็กซ์เตอร์ เมย์ฮิว จะมาเจอกันหลังจากตัดสินใจไม่มีอะไรกันในคืนเรียนจบ จนกลายเป็นความสัมพันธ์ complicated ที่อธิบายได้ยากว่าทั้งสองคนเป็นอะไรกันระหว่างเป็นเพื่อนกับคนรัก
การที่ได้เห็นใครสักคนหนึ่งเติบโต ไม่ว่าจะในช่วงชีวิตที่เขาตกต่ำ หรือประสบความสำเร็จในงานจนรุ่งโรจน์ คงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความผูกพัน เอ็มมาและเด็กซ์เตอร์ เป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของจังหวะเวลาที่ได้รู้จักกัน และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตกหลุมรักกันครับ
ในวันที่เอ็มมายังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องความรัก และเด็กซ์เตอร์ยังเอาแต่สนุก ไม่เคยคิดจริงจังกับชีวิต จึงทำให้ทั้งสองคงหยุดความรู้สึกเอาไว้แค่เพียงความสนใจในตัวอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ไม่กล้าแสดงออกอะไรมากกว่านั้น
หลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา บางครั้งถ้าเรารู้จักตอนเธอเด็กกว่านี้ เราก็อาจไม่รู้สึกอะไร หรือถ้ารู้จักตอนที่แก่กว่านี้ก็อาจจะไม่ใช่ความรู้สึกแบบชอบพอกันก็ได้ มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่พอดีกันที่สุดครับ เราในปัจจุบันและเธอในปัจจุบันคือช่วงเวลาที่เหมาะกันหรือไม่ และบางครั้งก็มีคนเราถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังคงประทับใจในตัวอีกฝ่ายอยู่เนือง ๆ
กว่าทั้งสองจะได้มาลงเอยกัน ความสัมพันธ์ในช่วงระยะเวลาอันยาวนานนั้น น่าจะเรียกว่าอยู่ในสถานะ safe zone ของกันและกันครับ คนที่เรากล้าที่จะเป็นตัวเองด้วยอย่างเต็มที่ ไม่อายที่จะเผยด้านอ่อนแอหรือตกต่ำในชีวิตให้เห็น เพราะเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน
ถ้าเซฟโซนของเราคือคนรักก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเซฟโซนของเราเป็นคนหนึ่ง และยังมีคนรักอีกคนหนึ่งนั้นก็คงจะลำบากไม่ใช่น้อย ยกเว้นกรณีที่ทั้งคู่ไม่มีใครจริง ๆ แต่ข้อควรระวัง คือ การผลักอีกฝ่ายเข้าไปในโซนต่าง ๆ นี่แหละอาจจะเป็นตัวเบรคไม่ให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปยังจุดที่ควรจะเป็นไปได้สักที
The Curious Case of Benjamin Button (2008)
หนังเรื่อง Benjamin Button อาจจะไม่ใช่ หนังรักอกหัก ที่เน้นเรื่องราวความรักทั่วไป แต่เรียกว่าเป็นหนังที่ทำให้เข้าใจความรักแบบผู้ใหญ่มากขึ้นดีกว่าครับ อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงของแบรด พิตต์ที่หากใครได้ชมก็คงต้องออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังดี
เบนจามิน บัตตัน ทารกที่มีสภาพร่างกายเหมือนคนชราวัย 80 ปี มีโรคแทรกซ้อนอย่างหนัก หมอคาดการณ์ว่าจะมีชีวิตไม่นาน ทว่าเขากลับเติบโตขึ้นโดยที่ร่างกายเด็กลงเรื่อย ๆ จากชายชราที่นั่งรถเข็นสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้เต็มสองขา
ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นผู้ใหญ่ของเบนจามิน ทำให้คนรอบข้างเขาที่ไม่รู้อายุที่แท้จริง treat เขาอย่างผู้ใหญ่ ทำให้เขาได้เรียนรู้โลกและการใช้ชีวิตในแบบที่มีอิสระเสรีไวกว่าที่เขาคาดไว้ นึกภาพของวันรุ่นในคราบคนแก่ก็คงจะทำให้เข้าใจตัวตนเบนจามินในช่วงกำลังเติบโตได้ชัดเจนขึ้น