ในชีวิตของเราทุกคน ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ทำให้เกิดการ ถกเถียง กันขึ้น บางครั้งก็สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ บางครั้งก็เพื่อเอาชนะ และในบางครั้งมันไม่จบลงแค่การถกเถียง แต่บานปลายไปจนถึงถึงขั้นทะเลาะกันไปเลยก็มี
เราทุกคนล้วนมีมุมมอง ความคิด ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกัน การถกเถียงทำให้เราเข้าใจคนอื่น ๆ มากขึ้น แม้ว่าคำว่า “การถกเถียง” อาจจะดูมีความหมายเชิงลบ หลายคนจึงเลี่ยงการปะทะความคิดเห็นกับผู้อื่น เพราะมันช่างดูไร้ประโยชน์ ไม่จำเป็น และเสียเวลาเอามาก ๆ แต่การเห็นต่างไม่ใช่ความขัดแย้ง และการถกเถียงไม่จำเป็นต้องเอาชนะกันเสมอไป ในครั้งนี้ MenDetails จึงขอแนะนำ วิธีถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ ที่ผู้ชายควรเข้าใจเอาไว้ครับ
Respect each other เคารพในกันและกัน
สิ่งแรกสุดที่เราควรมีเวลาเราจะถกเถียงกับใครสักคน นั่นคือ การเคารพซึ่งกันและกัน แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคู่สนทนา ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดก็ตาม แต่เรายังต้องเคารพในมุมมองของเขา ก่อนจะพูดคุย ถกเถียงกันว่าไม่เห็นด้วยอย่างไรและมุมมองของเราเป็นอย่างไร นั่นเป็นการแสดงความเคารพต่อคู่สนทนาในฐานะ “มนุษย์คนหนึ่ง” เราไม่ควรเริ่มต้นมองว่า อีกฝ่ายต่ำกว่า หรือมองว่าความเห็นของคู่สนทนาไร้สาระ ไม่มีค่า
เราควรมองว่านี่คือคนคนหนึ่งที่มีมุมมองในบางอย่างต่างจากเรา และในบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่บอกว่าถูกผิดได้ยาก การถกเถียงกันทำให้เราได้เรียนรู้มุมมองอีกมุมหนึ่ง หรืออาจจะปรับความเข้าใจบางอย่างตรงกัน ไปจนถึงแก้ความเข้าใจผิดที่เราหรือคู่สนทนามีในมุมมองนั้น ๆ ก็ได้
การที่เราไปใช้คำหยาบคาย หรือไม่ฟังความเห็นของคู่สนทนา มองว่าไร้สาระท่าเดียว จะเป็นการลดค่าของคู่สนทนาและเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้เคารพคู่สนทนาเลย หรือหากคู่สนทนาใช้คำพูดลักษณะดังกล่าว ก็แปลว่าคู่สนทนาไม่ได้เคารพเราเช่นกัน นอกจากจะทำให้ไม่ได้ข้อสรุป หรือไม่เกิดประโยชน์แล้ว คนที่ทำกิริยานั้น ๆ ก็จะเสียความน่าเคารพไปโดยปริยาย ต่อให้การศึกษาสูงเพียงใด หากไม่มีความเคารพกันและกันแล้ว ก็ไร้ค่าครับ
อย่า ถกเถียง เพื่อเอาชนะ
ข้อนี้เป็นการเชื่อมต่อมาจากข้อแรก นั่นคือ เวลาถกเถียงเราไม่ได้หาว่าใครพูดสะใจที่สุด ใครจิกกัดได้เจ็บแสบที่สุด ประชดดีที่สุด เราไม่ได้ต้องการผู้ชนะ ดังนั้น อย่าถกเถียงเพียงเพราะว่าต้องการชนะคู่สนทนาครับ
หลายครั้งในการถกเถียง หลายคนมั่นใจว่าสิ่งที่ต้องเชื่อ คิด หรือพูด เป็นสิ่งที่ถูกและไม่ยอมรับในสิ่งที่คู่สนทนาพูดมา บางคนมักยืนพื้นด้วยความคิดที่ว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นดีกว่าคู่สนทนา ทำให้บทสนทนาทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น และบ่อยครั้งการถกเถียงที่มีความร้อนแรง มักจะตามมาด้วยการไต่ระดับทางอารมณ์ที่สูงขึ้นเช่นกัน ทำให้เกิดอาการ “หัวร้อน” หรือ “ของขึ้น” ในเวลาที่อารมณ์ของการสนทนาเดือดได้ที่ ความเป็นเหตุเป็นผลของการถกเถียงก็จะถูกลดความสำคัญลงไป กลายเป็นการพยายามเอาชนะความเห็นคู่สนทนาแทน ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม
ผลลัพธ์ของการสนทนาเช่นนี้ ก็มีจะมีฝ่ายหนึ่งที่เหมือนจะเป็น “ผู้ชนะ” เพราะอาจใช้คำพูดที่เจ็บแสบกว่า หรือโจมตีเรื่องอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ถกเถียงกัน แต่ก็ช่างเป็นชัยชนะที่ดูว่างเปล่า เพราะสุดท้ายก็จะได้แค่ความสะใจ ไม่สามารถหาประโยชน์ หรือข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ ไปจนถึงการเห็นพ้องต้องกัน การแก้ความเข้าใจผิดจากการถกเถียงได้เลย
เช็กให้แน่ใจว่าเราพูดประเด็นเดียวกัน
หลายครั้งการถกเถียงก็เกิดมาจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือการวางคำนิยามของประเด็นที่กำลังถกเถียงกันไม่เหมือนกัน ทำให้ไม่ว่าจะสนทนาถกเถียงหาข้อสรุป หรือข้อเห็นพ้องต้องกันอย่างไรก็ดูจะจบไม่ได้เสียที แถมยิ่งคุยยิ่งหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนคู่สนทนาไม่เข้าใจเรา และเราไม่เข้าใจคู่สนทนาเสียเลย
หากเป็นในกรณีเช่นนี้ ให้เราพยายามเช็กว่าเรากับคู่สนทนากำลังพูดถึงประเด็นเดียวกันอยู่หรือไม่ และคำนิยามของประเด็นที่ใช้ในการสนทนานั้นตรงกันหรือไม่ เพราะหากพูดคุยคนละประเด็น หรือคำนิยามของประเด็นที่ใช้คุยกันนั้นต่างกัน ต่อให้คุยกันทั้งวันก็คงไม่อาจหาข้อสรุปได้ครับ ยกตัวอย่างเช่นคำว่า “คนเลว” คำนิยามคำว่าคนเลวของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ดังนั้นควรเช็กให้แน่ใจว่าเราและคู่สนทนากำลังคุยเรื่องเดียวกัน หรือเป็นเรื่องที่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ แต่หากคำนิยามของประเด็นที่กำลังสนทนาถกเถียงกันนั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งพูดไปทาง อีกคนหนึ่งพูดไปทาง แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ครับ
หยุดใช้ตรรกะวิบัติ
ข้อสุดท้ายนี้เป็นอะไรที่อ่านแล้วเหมือนจะทำง่าย แต่ในบรรดาทั้งหมดที่เรากล่าวมา ข้อนี้ทำได้ยากที่สุดครับ เพราะตรรกะวิบัติ (Fallacy) หรือการให้เหตุผลที่ผิด แม้ฟังตอนแรกเหมือนจะดูถูกต้อง มีหลายประเภทและหลายเวลาที่เราสนทนาในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป ไปจนถึงการสนทนาถกเถียงในการหาข้อสรุป เรามักจะเผลอใช้หนึ่งในตรรกะวิบัติโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ ตรรกะวิบัติที่เราเห็นได้บ่อย ๆ โดยเฉพาะในสังคมไทย เช่น
- Ad hominem (การโจมตีที่ตัวบุคคล) เป็นตรรกะวิบัติที่เราเห็นได้บ่อย เพราะเป็นการโจมตีที่ตัวบุคคลโดยตรง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองชนะการโต้แย้ง เช่น แทนที่จะบอกว่าทำไมเราถึงไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่คู่สนทนากล่าวมา เรากลับไปโจมตีที่รูปร่าง หน้าตา เชื้อชาติ สีผิว ปมด้อย ฐานะ อาชีพ การแต่งกาย ฯลฯ ของคู่สนทนาแทน ทำให้เหตุผลของคู่สนทนาถูกปัดตกไป เป็นตรรกะวิบัติที่อันตรายมาก
- Tu Quoque (คุณก็ทำด้วย) เป็นอีกหนึ่งตรรกะวิบัติที่โจมตีที่ตัวบุคคลโดยตรง ด้วยการบอกว่าคนคนนั้นก็ทำสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน จึงไม่มีสิทธิ์พูด เราจะเห็นได้บ่อยในประเด็นที่เกี่ยวกับของเถื่อน เช่น มีคนไปต่อต้านการดูหนังผ่านการโหลดเถื่อน แต่ฝ่ายที่ดูกลับบอกว่า ถ้าคุณใช้ของปลอม ของก็อปอยู่ก็ไม่มีสิทธิ์พูด ตรรกะประเภทนี้ก็พบเห็นได้บ่อยในทุกสถานการณ์ครับ แถมคนที่ใช้ตรรกะประเภทนี้ เป็นพวกคนที่ไม่ยอมรับผิดและพยายามหาพวก หรือพยายามทำให้คนอื่นดูผิดไปด้วย
- Ad Populum (ใคร ๆ ก็ทำกัน) ตรรกะนี้จะไปเกี่ยวข้องกับ Bandwagon effect เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา อารมณ์พวกมากลากไป เพราะคนทำกันก็เลยทำด้วย แม้ว่ามันจะผิดก็ตาม ในประเทศไทยได้บ่อยเวลาขับรถบนเส้นทางจราจร แล้วเราเจอรถหรือมอเตอร์ไซต์ขับรถย้อนเลน อาจทำให้เกิดอันตรายได้ แต่พอเตือน กลับได้คำตอบว่า “ใคร ๆ ก็ทำกันน่า” เพราะกับขับจากไปอย่างสบายใจ แต่การที่ใคร ๆ ก็ทำกันไม่ได้แปลว่ามันจะถูก
- Non sequitur (แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร?) นี่คือสุดยอดตรรกะวิบัติที่ครอบคลุมตรรกะวิบัติหลาย ๆ ประเภท และพบเห็นได้บ่อยในสังคมไทยเสียด้วย เพราะการให้เหตุผลและผลดูจะไม่สัมพันธ์กันเลย ยิ่งพอมาคิดดูดี ๆ แล้ว มันแทบไม่เกี่ยวกันเลย หรือแทบไปสู่ข้อสรุปที่กล่าวมาไม่ได้เลย แต่ยังโชคดีที่มีวิธีแก้ทางอยู่บ้าง ด้วยการถามย้อนกลับไปเลยว่า “แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร?” ถ้าหากคู่สนทนา หรือถ้าเราถูกย้อนถามอย่างนี้แล้วตอบไม่ได้ แสดงว่าเรากำลังใช้ตรรกะวิบัติอยู่นั่นเอง
- Red Herring Fallacy (เนียนเปลี่ยนเรื่อง) อีกหนึ่งสุดยอดตรรกะวิบัติสุดท้ายที่อยากให้รู้จักกันในวันนี้ เพราะเป็นอีกหนึ่งตรรกะที่พบเห็นได้บ่อย เผลอ ๆ จะเป็นอันดับหนึ่งเสียด้วย โดย Red Herring เป็นสำนวน ที่มีความหมายเกี่ยวกับอะไรบางอย่างที่เบี่ยงเบนความสนใจทำให้เราหลุดออกจากสิ่งที่เรากำลังตามหา มักใช้ในการไขปริศนา ไปจนถึงเกม Escape room อย่าง การวางอะไรบางอย่างที่ดูจะเป็นปริศนา แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเกี่ยวกันเลย ทำให้เราเสียเวลาอยู่กับสิ่งนั้น ตรรกะวิบัติก็เช่นเดียวกันครับ Red Herring Fallacy คือ การเนียน / เฉไฉเปลี่ยนเรื่องให้หลุดไปจากประเด็นเดิมที่กำลังพูดกันอยู่ ส่วนใหญ่จะเห็นเมื่อผู้พูดรู้ว่าเหตุผลของตัวเองเข้มแข็งไม่พอ เลยต้องเปลี่ยนเรื่องเพื่อปิดบัง โดยการเปลี่ยนเรื่องนั้นครอบคลุมตรรกะวิบัติอีกหลายประเภท เปลี่ยนไปโจมตีบุคคล เปลี่ยนไปบอกว่าใคร ๆ ก็ทำ เป็นต้น ตัวอย่างการใช้ตรรกะแบบนี้ เช่น “ผมอาจไม่มีความสามารถในการเป็นหัวหน้า แต่ผมรักบริษัทนี้” เป็นการเปลี่ยนเรื่องโดยบอกว่าตัวเองรักบริษัทนี้ มาเปลี่ยนเรื่องที่ตัวเองไม่มีความสามารถในการเป็นหัวหน้า
ทั้งหมดที่ MenDetails กล่าวไป เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้การ ถกเถียง เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย เพราะเราสามารถหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ มุมมองใหม่ การแก้ปัญหา หรืออย่างน้อย ๆ ก็หาบางอย่างที่เราเห็นพ้องต้องกันได้ การถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ยังสามารถช่วยลดความขัดแย้งลงได้เพราะไม่ใช่การเถียงด้วยอารมณ์ หรือเถียงแบบไม่มีเหตุผลลงได้ด้วยครับ เราหวังว่าทุกคนจะสามารถใช้วิธีการเหล่านี้หากต้องถกเถียง โต้แย้ง หรือสนทนากับคนที่เห็นต่างไปจากเราได้นะครับ