Suit Shops Series by ‘Huddersfield Textile’ | บทความซีรี่ส์ในการแนะนำร้านสูทสำหรับผู้ชายไทยที่นำเสนอโดยแบรนด์ผ้าสำหรับตัดเย็บสูทชื่อดังสั่งตรงจากเมืองฮัดเดอร์สฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ‘Huddersfield Textiles’ พบกับร้านสูทที่ทาง Huddersfield รวบรวมมาให้เราได้รู้จักกันได้แก่
‘612 Twelve’ กับ Classic Menswear ที่เป็นตัวเอง
‘Forchong’ ตำนาน Inhouse Tailor ที่หายากในร้านสูทของเมืองไทย
‘RAMS’ เพราะสูทที่ดี ควรตัดกับคนที่เรา “ไว้ใจ”
‘Sprezzatura Eleganza’ เพราะคำว่า ‘Suit’ คือความเหมาะสมของผู้ชาย
‘The Somchai’ ความสง่างามของสูท Bespoke ที่ตัดขึ้นเพื่อคุณคนเดียว
‘VVON SUGUNNASIL’ เข้าถึงและเข้าใจ ในสิ่งที่ผู้ชายไทยต้องการ
และ บทสัมภาษณ์พิเศษของ Jai Sachdev จาก Huddersfield Textiles ปิดท้าย Series นี้ครับ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มี “ร้านตัดสูท” อยู่มากมายโดยเฉพาะในย่านการค้าและแหล่งท่องเที่ยว ที่เราจะพบเห็นร้านตัดสูทจัดโปรโมชั่นจูงใจพวกเราให้จ่ายเงินตัดสูทกับพวกเขา แต่ความจริงอย่างหนึ่งก็คือ ร้านสูทเหล่านี้ “ไม่ได้ตัดสูทเอง” พวกเขาเป็นแค่หน้าร้านและเซลส์แมนที่คอยส่งขนาดตัวของเรา รวมถึงความต้องการของเราไปบอกช่างตัดสูทอีกทอดหนึ่ง ปัญหาที่ตามมาก็คือ หลายครั้งปัญหาที่เกิดจากเสื้อผ้าหรือสูทที่ตัดออกมานั้น ไม่สามารถได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและถูกต้องโดยช่างเสื้อที่อยู่หน้างาน ทำให้แก้ไขไม่ถูกจุด และทำให้ลูกค้าสวมใส่เครื่องแต่งกายเหล่านั้นออกมาแล้ว “ไม่สวยเอาเสียเลย”
ถ้าเช่นนั้นหากเราจะหาร้านตัดสูทที่มี “ช่างตัดสูท” ประจำอยู่ที่ร้านของเราเอง เพื่อจะทำให้เรามั่นใจได้ว่า การวัดตัว, การตัดเย็บ รวมถึงการแก้ไข (ถ้ามี) จะได้รับการประเมินและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนจากผู้ที่เชี่ยวชาญจริงๆ ซึ่งร้านสูทร้านหนึ่งที่ถือเป็น “ตำนาน” ของร้านสูทที่มีช่างเป็นของตัวเองนั้นก็คือร้านที่มีชื่อว่า Forchong (โฟร์ชอง) ร้านนี้นี่แหละครับ
“ช่างทิน” หรือ “คุณประทิน เกิดช้ำ” เป็นทั้งเจ้าของร้าน และช่างตัดสูทของร้านสูท “Forchong” (โฟร์ชอง) ตัวช่างทินเองเริ่มต้นจากการเรียนการตัดเย็บเสื้อผ้าตั้งแต่อายุ 15 ปี แรกเริ่มเดิมทีก็จะตัดเพียงแค่เสื้อเชิ้ตและกางเกงทั่วไป ต่อมาเมื่อมีลูกค้าหลากหลายมากขึ้น จึงเริ่มมีลูกค้าประจำหลายเจ้าที่เสนอให้ช่างทินตัดชุดสูทให้เขา ช่างทินจึงเริ่มตัดสูทตั้งแต่นั้นมา และสะสมประสบการณ์เป็นเวลากว่า 50 ปีเข้าไปแล้ว
“หลักการที่สำคัญที่สุดของเราคือตัดให้พอดี ให้ถูกใจลูกค้าเข้าไว้ แต่สำคัญที่สุดคือควรมีแบบมาให้เราดูก่อนด้วย ว่าตัวเองต้องการอย่างไร” ด้วยความที่ช่างทินเป็น “ช่างตัดสูท” โดยตรง เขาจึงแนะนำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา “ขอให้เอาแบบมาเถอะ อยากจะได้สไตล์ไหน ปกเล็กหรือปกใหญ่ จะเสริมไหล่หรือไม่เสริม จะเข้ารูปหรือใส่แบบหลวมๆ ไม่ว่ารูปแบบใด ผมก็สามารถทำให้ได้ทั้งนั้นแหละ” ช่างทินเน้นย้ำกับเราเรื่องนี้อีกครั้ง
“ระดับราคาในการตัดเย็บสูทของเราเริ่มต้นที่ชุดละ 7,500 บาทเท่านั้นเอง” ช่างทินพูดถึงค่าตัดสูทของร้าน Forchong “เราจะให้คำปรึกษาบางส่วนหากว่าลูกค้าสอบถามมา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเราก็จะเน้นทำตามใจลูกค้ามากกว่า เราอยากให้ลูกค้าสบายใจที่สุด และต้องมั่นใจว่าจะได้สูทที่ตัวเขาเองวาดภาพในหัวเอาไว้ ส่วนราคาสูงสุดที่เราเคยตัดอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ซึ่งราคาก็จะขึ้นอยู่กับผ้าที่เลือกใช้ ผมเองตัดสูทมานานจนรู้เลยว่าผ้าแบบไหนดีหรือไม่ดีด้วยการฟังเสียงการตัดผ้า ซึ่งเสียงของผ้าที่ถูกตัดออกนั้นจะแตกต่างกันจริงๆ”
“ผู้ชายไทยมีข้อดีอย่างหนึ่งที่ส่วนใหญ่หุ่นไม่ได้อ้วนมากนัก ทำให้ใส่สูทสวย” ช่างทินบอกกับ MenDetails “ผมมองว่าผู้ชายไทยน่าจะใช้ข้อได้เปรียบเรื่องนี้ในการสวมใส่สูทให้ดูดีกันให้มากขึ้นนะ” ช่างทินแนะนำให้ใส่สูทที่เป็นสีอมตะอย่างสีน้ำเงินหรือสีกรมท่า เพื่อที่จะให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น และควรเลือกทรงเข้ารูปที่ไม่รัดเกินไป “เราจะทำการวัดตัวอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อที่จะดูว่าใส่แล้วพอดีหรือยัง บางครั้งเข้ารูปเกินไปจนคับ เราก็ต้องแก้ไขให้ด้วย เพราะเราวัดเองตัดเอง แก้ไขเอง เราจึงเห็นข้อบกพร่องได้ง่ายกว่า และจะรู้ว่าจะต้องแก้ชิ้นนี้อย่างไรเมื่ออยู่บนตัวคุณจริงๆ ไม่ใช่หลับตาแก้ๆ ไปตามไซส์ที่คนอื่นวัดให้ ซึ่งแก้ยังไงก็บอกมาไม่ดีนักหรอก”
ความน่าสนใจของร้านสูทอย่าง “โฟร์ชอง” สำหรับ MenDetails คงไม่ใช่รูปแบบของชุดสูทที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันเป็นเอกลักษณ์, ไม่ใช่ราคาที่สูงจนทำให้หลายคนฟังแล้วอึ้ง และไม่ใช่ชุดสูทที่จะมี “ชั้นเชิง” เช่นเดียวกับงาน Bespoke ของอังกฤษหรืออิตาลี่ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นจริงๆ ของ “โฟร์ชอง” ก็คือการมี “ช่างตัดสูท” ประจำร้านเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของร้านเองอีกด้วย ต่างกับร้านสูทอื่นๆ อีกกว่า 95% ในประเทศไทยที่เมื่อเราไปตัดสูทกับพวกเขา เราจะได้พูดคุยกับ Salesman ที่ไม่ได้ลงมือจับกรรไกรเพื่อ “ตัดสูท” ให้เราจริงๆ แต่เพียงแค่วัดตัวและนำความต้องการของเราไปบอกต่อกับช่างตัดสูทที่ทางร้านว่าจ้างต่างหากอีกทอดหนึ่ง
การมีช่างตัดสูทอยู่ที่ร้านจริงๆ หรือที่เรียกว่า “In-House Tailor” จึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในเมืองไทย และนั่นจึงทำให้ “ช่างทิน” แห่งร้าน “โฟร์ชอง” ยังคงยืนหยัดอยู่คู่แวดวงเสื้อผ้าสไตล์ Tailoring ในเมืองไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ด้วยอัธยาศัยไมตรีที่ดีของช่างทิน กับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ช่างทินมอบให้ตลอดช่วงเวลาที่พูดคุยกัน ทำให้ MenDetails มั่นใจว่า “ช่างทิน” รักในงานที่ตัวเองทำเป็นอย่างดี และจะยังคงรักษาตำนานแห่งร้าน “โฟร์ชอง” บนถนนสุขุมวิทเส้นนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน