Credit: media.chevrolet.com
เชื่อว่าความฝันของผู้ชายหลายคนคือรถสปอร์ตสุดงามที่สามารถพาให้คุณโลดแล่นไปพร้อมกับความเร้าใจได้ทุกที่ รถสปอร์ตที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่มักจะอยู่ในฝั่งยุโรปแต่ถ้าพูดถึงรถสปอร์ตฝั่งอเมริกาที่ขึ้นแท่นเป็น iconic ต้องมีชื่อของ Chevrolet Corvette อยู่อย่างแน่นอน นี่คือสัญลักษณ์แห่งสมรรถนะ ความแรง ความเร้าใจ และความภาคภูมิใจมาตลอด 70 ปี จากจุดเริ่มต้นที่มากับแนวคิด “Dream Car” ในยุค 50s วันนี้ Corvette กลายเป็นไอคอนของรถสปอร์ตอเมริกันพันธุ์แท้ที่ผู้ชายหลายคนหมายปอง MenDetails จึงขอเชิญมาทำความรู้จัก ประวัติ Chevrolet Corvette กับเรื่องราวอันน่าหลงใหลตลอด 8 เจเนอเรชันของ The Real American Sports Car รุ่นนี้กันครับ
จุดเริ่มต้น Dream Car: Chevrolet Corvette C1
Credit: Josh Kobayashi on Pexels
ประวัติ Chevrolet Corvette เริ่มต้นขึ้น เมื่อรถเจเนอเรชันแรกเผยโฉมต่อสาธารณชนในงาน Motorama show ปี 1953 พร้อมกับแนวคิด “Dream Car” หรือรถในฝันที่มอบความสนุกสนานพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ตราตรึง โดยมากับบอดี้เปิดประทุนขนาดกะทัดรัดที่นั่งได้สองคนและเครื่องยนต์ 6 สูบ 115 แรงม้า การผลิตเริ่มต้นที่โรงงานในเมือง Flint, Michigan ก่อนจะโยกไปที่ St. Louis, Missouri ชีวิตช่วงแรกของ C1 ดูเหมือนจะสวยหรูแต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม มันทำยอดขายได้น้อยกว่าที่ GM คาดการณ์ ขณะที่หลายคนก็มองว่าในฐานะรถสปอร์ตพละกำลังที่มีนั้นน้อยเกินไป เป็นผลให้ปี 1955 C1 ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ V8 หลังจากนั้นก็มีการปรับปรุงหน้าตาควบคู่ไปกับการปรับเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ต่อเนื่องทุกปี จนสามารถรีดเค้นพลังขึ้นไปได้สูงสุด 360 แรงม้าในปี 1962 ก่อนจะยุติการผลิตลงในปีเดียวกันพร้อมกับทิ้งมรดกล้ำค่าหลายอย่างไว้ให้รถรุ่นหลังได้สืบต่อ
แสงสว่างเริ่มสาดส่อง: Chevrolet Corvette C2
Credit: media.chevrolet.com
ปี 1963 Chevrolet เปิดตัว Corvette เจเนอเรชันที่ 2 มากับหน้าตาสุดล้ำและไฟหน้า pop up ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถต้นแบบ Corvette Stingray Racer และชื่อ Sting Ray ก็กลายเป็นชื่อเล่นสำหรับเรียกรถเจนฯ นี้ไปในที่สุด ในด้านวิศวกรรมมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่โดยมาพร้อมระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระและดิสก์เบรก 4 ล้อ มีตัวถังคูเป้ออกมาเป็นครั้งแรก ตามมาด้วยเวอร์ชันอัปเกรดพลังเครื่องยนต์ในชื่อ Z06 ผลิตออกมาเพียง 199 คัน C2 ทุกรุ่นใช้เครื่อง V8 โดยในปีแรกที่เปิดตัวมีกำลังอยู่ที่ 327 แรงม้า ก่อนจะปรับแต่งพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ จนสุดที่ 435 แรงม้าในปี 1967 นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันพิเศษที่มากับเครื่องยนต์รหัส L88 ซึ่งผลิตกำลังได้สูงถึง 560 แรงม้า และมีเพียง 20 คันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม C2 มีอายุโมเดลสั้นเพียง 4 ปี มันถูกแทนที่ด้วยทายาทรุ่นใหม่ในปี 1968
The Sharknado: Chevrolet Corvette C3
Credit: Mateusz Suski on Unsplash
Corvette เจเนอเรชันที่ 3 ออกสู่ตลาดในปี 1968 รูปลักษณ์หน้าตามาในสไตล์เดียวกับรุ่นพี่พร้อมจุดเด่นอย่างไฟหน้า pop up และเส้นสายโฉบเฉี่ยวที่ได้แรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ Mako Shark II เจนฯ นี้มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง T-top ที่ถอดหลังคาออกได้เป็นครั้งแรก ด้านวิศวกรรมและเครื่องยนต์มีการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้า ไฮไลท์คือเวอร์ชันสมรรถนะสูง ZL1 ที่มากับเครื่อง V8 7.0 ลิตร 430 แรงม้า รวมถึงเวอร์ชัน ZR1 และ ZR2 ตามออกมาเอาใจคนชอบของแรง
ในปี 1973 Corvette มีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญทั้งด้านตัวถังที่ต้องทำให้ปลอดภัยมากขึ้นและกำลังเครื่องยนต์ที่ถูกตอนให้ลดลงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของรัฐบาล ก่อนจะมีตัวถัง Fastback ตามออกมาในปี 1978 พร้อมกับฉลองครบ 25 ปีของตระกูลด้วยตราสัญลักษณ์ธงไขว้ และเวอร์ชันพิเศษอย่าง Corvette Indy 500 Pace Car ที่มีเพียง 300 คัน หลังจากนั้นในปี 1981 โรงงานผลิตก็ถูกย้ายไปที่เมือง Bowling Green, Kentucky อีกครั้ง C3 ทำตลาดยาวนานกว่า 14 ปี ถือเป็น Corvette ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอีกรุ่นและยังคงได้รับการพูดถึงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก: Chevrolet Corvette C4
Credit: media.chevrolet.com
Corvette C4 ออกสู่ตลาดในปี 1984 พร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งรูปลักษณ์หน้าตาและวิศวกรรมให้เข้ากับยุคสมัยแต่ก็ยังไม่ลืมเอกลักษณ์ไฟหน้า pop up และไฟท้ายกลมคู่จากรุ่นก่อน ตัวถังออกแบบเป็นทรงลิ่มตามสมัยเพื่อความลู่ลมซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกขึ้น 24% จากรุ่นก่อนพร้อมกับทำความเร็วสูงสุดได้มากขึ้น ช่วงแรกของ C4 จะขายเฉพาะตัวถัง T-Top ตัวถังเปิดประทุนตามมาในปี 1986 เครื่องยนต์ V8 5.7 ลิตรเป็นพื้นฐานในทุกรุ่น ต่อมาปี 1990 มีการเปิดตัวเวอร์ชัน ZR-1 กำลัง 375 แรงม้าที่มาพร้อมถุงลมนิรภัยด้านคนขับเป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรก นอกจากนี้ Corvette ยังเดินทางมาถึงการผลิตคันที่ 1 ล้านในปี 1992 ตามด้วยเวอร์ชันฉลองครบรอบ 40 ปี, เวอร์ชัน Indy 500 Pace Car และเวอร์ชันส่งท้ายเจเนอเรชันอย่าง Corvette Grand Sport ที่มากับตัวถังสี Admiral Blue คาดแถบขาว พร้อมขุมพลัง 330 แรงม้า ผลิตเพียง 1,000 คัน
ยุคเปลี่ยนผ่าน: Chevrolet Corvette C5
Credit: media.chevrolet.com
Corvette C5 เปิดตัวในปี 1997 รูปลักษณ์ดีไซน์มาในแนวทางเดียวกับรุ่นพี่ที่ปรับให้มีความโค้งมนมากขึ้น เอกลักษณ์อย่างไฟหน้า pop up และไฟท้ายกลมคู่ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ระบบส่งกำลังถูกย้ายมาไว้ด้านท้ายรถ ตัวถังมีทรงคูเป้ Fastback ตามมาด้วยตัวถังเปิดประทุน และตัวถัง Hardtop เป็นครั้งแรก ด้านขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ V8 5.7 ลิตร รหัส LS1 345 แรงม้า ก่อนจะปรับเพิ่มเป็น 348 แรงม้าในภายหลัง เวอร์ชันสมรรถนะสูงอย่าง Z06 ถูกชุบชีวิตกลับมาอีกครั้งในปี 2001 พร้อมตัวถัง Hardtop กับพละกำลัง 385 แรงม้า และถูกจูนเพิ่มเป็น 405 แรงม้าในปี 2002 นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันพิเศษอย่าง Indy 500 Pace Car, รุ่นฉลองครอบรอบ 50 ปี และส่งท้ายด้วยรุ่นฉลองการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ในปี 2004
การปฏิวัติด้านดีไซน์: Chevrolet Corvette C6
Credit: media.chevrolet.com
Corvette C6 เปิดตัวในปี 2005 พร้อมการปฏิวัติด้านดีไซน์ครั้งสำคัญด้วยการเลิกใช้ไฟหน้า pop up ที่สืบทอดกันมานานกว่า 4 ทศวรรษ ขณะที่ไฟท้ายกลมคู่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้ ด้านวิศวกรรมมีการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นพร้อมกับปรับเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ V8 เป็น 6.0 และ 6.2 ลิตรตามลำดับ ตัวถังเปิดประทุนมีออปชันเปิด-ปิดหลังคาด้วยระบบไฟฟ้าให้เลือกเป็นครั้งแรก ตัวถัง Hardtop ไม่ได้ไปต่อในเจนฯ นี้ ปี 2006 มีเวอร์ชันสมรรถนะสูง Z06 ก็ตามออกมาพร้อมกับขุมพลัง V8 7.0 ลิตร 505 แรงม้า ต่อด้วยเวอร์ชัน ZR1 ที่ปรับให้เป็นรถ Track-ready เต็มตัวพร้อมขุมพลัง V8 6.2L Supercharged 638 แรงม้า รวมถึงเวอร์ชัน Grand Sport ที่ตามมาในปี 2010 นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันพิเศษอย่าง Z06 Carbon Limited Edition และปิดท้ายเจเนอเรชัน 6 ด้วย Corvette 427 Convertible Collector’s Edition ฉลองครบรอบ 60 ปีของตระกูล
การกลับมาของชื่อ Stingray: Chevrolet Corvette Stingray C7
Credit: media.chevrolet.com
ชื่อ Stingray เลือนหายไปจากสารบบของ Corvette หลายทศวรรษก่อนจะถูกรื้อฟื้นกลับมาในปี 2014 พร้อมกับทายาทรุ่นที่ 7 เจนฯ นี้มีการอัปเกรดไปใช้เฟรมตัวถังอะลูมิเนียมและฝากระโปรงคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อช่วยลดน้ำหนัก รูปลักษณ์ดีไซน์มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวในสไตล์ซูเปอร์คาร์ แม้จะยังเป็นรถเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังแต่ C7 ก็แทบไม่เหลือเอกลักษณ์เก่า ๆ ของตระกูลไว้ให้เห็น ด้านเครื่องยนต์เริ่มต้นที่ V8 6.2 ลิตร ส่วนเวอร์ชัน Z06 จะพ่วงระบบซูเปอร์ชาร์จเข้ามาจนได้กำลัง 650 แรงม้า มีเวอร์ชัน Grand Sport ตามออกมาในปี 2017 ส่วนเวอร์ชัน Track-ready อย่าง ZR1 เปิดตัวมาส่งท้ายเจเนอเรชันในฐานะ Corvette ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมากับแรงม้าสูงสุดถึง 755 ตัวพร้อมชุดแอโรสุดโหดรอบคัน สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 345.82 กม./ชม. แม้ C7 เกือบจะเป็น Corvette ที่กลายพันธุ์จนสาวกรุ่นเก่าไม่ค่อยชอบแต่มันก็ได้รับความนิยมจากผู้ใช้หน้าใหม่อยู่ไม่น้อย ก่อนจะสิ้นสุดการผลิตลงในปี 2019
ทลายขนบเดิม ผงาดสู่ศักราชใหม่: Chevrolet Corvette Stingray C8
Credit: media.chevrolet.com
Corvette เจเนอเรชันที่ 8 เปิดตัวในปี 2020 พร้อมกับการแหกขนบดั้งเดิมของตระกูลด้วยการกลายพันธุ์เป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง ทำให้มันมีสัดส่วนเหมือนรถซูเปอร์คาร์จากฝั่งยุโรปและเหมือนเป็นการฉีกเอกลักษณ์ดั้งเดิมทุกอย่างของ Corvette ไปจนหมดสิ้น เรื่องนี้มีทั้งกระแสที่เห็นดีเห็นงามและร้องยี้ แต่ C8 ก็พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของตัวเองด้วยสมรรถนะการขับขี่และการควบคุมที่หลาย ๆ สำนักให้การยอมรับ รวมถึงความเร้าใจจากเครื่องยนต์ V8 6.2 ลิตรที่ปรับปรุงใหม่ตามยุคสมัย รูปแบบตัวถังมีทั้งคูเป้และเปิดประทุนหลังคาแข็ง มีเวอร์ชันฉลองครบรอบ 70 ปีออกมาเมื่อตอนต้นปี 2023 ตามมาด้วยเวอร์ชัน Z06 ที่มากับพละกำลัง 550 แรงม้า และล่าสุดกับ Corvette E-Ray ที่มากับขุมพลังไฮบริดเป็นครั้งแรกของตระกูล นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า Corvette กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และคาดว่าปี 2024 เราก็น่าจะได้เห็นเวอร์ชัน Track-ready อย่าง ZL1 กันอีกครั้งซึ่งอาจจะมาพร้อมพละกำลังแตะระดับ 800 แรงม้าก็เป็นไปได้ ปัจจุบัน Corvette C8 กำลังออกอาละวาดอยู่ในหลาย ๆ ตลาดทั่วโลกและได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนคลับและคนรักความเร็วจำนวนไม่น้อยทั่วโลก
Credit: media.chevrolet.com
ตลอดระยะเวลา 70 ปีกับทายาท 8 เจเนอเรชัน Chevrolet Corvette เปรียบดั่งสัญลักษณ์แห่งสมรรถนะและความแรงที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น คอนเซ็ปต์ Dream Car จากปี 1953 ยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบันในฐานะไอคอนของรถสปอร์ตอเมริกันพันธุ์แท้ แม้ว่าเอกลักษณ์บางอย่างจะไม่ได้ถูกสานต่อแต่รากเหง้าและจิตวิญญาณดั้งเดิมยังคงอยู่ Corvette จะยังเป็นรถในฝันที่ผู้ชายรักความเร็วอย่างพวกเราอยากจะสัมผัสตัวจริงให้ได้สักครั้งในชีวิต เครื่องยนต์ V8 ของมันจะดังกระหึ่มต่อไปพร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์และความสำเร็จใหม่ ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การมาของ Corvette E-Ray เวอร์ชันไฮบริดเปรียบเสมือนเป็นการบอกว่าสายพันธุ์นี้ยังไม่พร้อมที่จะเกษียณอายุในเร็ววัน ดังนั้นจงเตรียมต้อนรับความตื่นเต้นของตัวแรงรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังจะตามออกมาหลังจากนี้กันได้เลยครับ