ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเอง จำเป็นต้องต้องเลือกทำงานแบบ Work From Home ใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่อาจเป็นทั้งห้องนอน / ห้องทานอาหาร รวมไปถึงห้องที่ไว้ใช้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน นอกเหนือจากนั้นแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยได้พบปะเพื่อนฝูง หรือไปร่วมสังสรรค์ในวันพิเศษต่าง ๆ ก็เป็นอันต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้สิ่งสุดท้ายที่หลาย ๆ ท่านให้ความสำคัญ คงเป็นเรื่องการแต่งตัวออกจากบ้าน เพราะไหน ๆ ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว เสื้อผ้าที่มักเลือกสวมใส่บ่อยที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเสื้ออยู่บ้านตัวเก่ง ที่เป็นทรง Oversized และนุ่มเป็นพิเศษ (อาจผ่านการซักมาบ่อยครั้ง) ซึ่งนอกจากช่วงเวลาที่เราต้องทำงานอยู่บ้านนั้น จะทำให้เรามีน้ำหนักตัวที่มากขึ้น ใส่ใจสุขภาพน้อยลงแล้ว ยังส่งผลถึงการแต่งกายของเราอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย
สิ่งที่ผู้เขียนประสบกับตัวเองโดยตรง คือการแต่งตัวไปสถานที่ใกล้ ๆ บ้าน โดยใส่ชุดนอน หรือเสื้อผ้าออกกำลังกาย (เนื่องจากสวมใส่สบาย) ออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่ธนาคาร หรือซื้อกับข้าวเพื่อนำกลับมาทานที่บ้านเป็นต้น แล้ววันหนึ่งเราก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ แล้วมองเงาสะท้อนของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับคำถามที่ว่า “ความสนุกในการแต่งตัวของเรานั้น จางหายไปตั้งแต่เมื่อไร”
ความใส่ใจเรื่อง Fashion คือสิ่งท้าย ๆ หรือท้ายสุดของใครหลาย ๆ คนครับ เนื่องจากมันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เหมือนกับอาชีพการงาน หรืออาหารที่นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังช่วยให้เราอิ่มท้อง ทว่า การเลือกแต่งตัวให้ดูดี เหมือนเป็นตัวช่วยเพื่อส่งเสริมความมั่นใจ (คุณค่าทางใจ) แถมแสดงออกถึงการให้เกียรติสังคมโดยรอบ และตลอดปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก ๆ ครับ ที่ทำให้เราได้หันกลับมาพิจารณาถึงเสื้อผ้าที่เราเคยเลือกซื้ออย่างแท้จริง
เสื้อผ้าที่เราซื้อไว้ พอผ่านไปสัก 2-3 ปี หากเราไม่ได้ชื่นชอบสไตล์ดังกล่าว จนไม่ได้หยิบออกมาใส่อีกเลย นั่นอาจหมายถึง มุมมองต่อการแต่งตัวเปลี่ยนไป
หากคุณลองกลับไปค้นดูเสื้อผ้าในตู้ของคุณเอง คุณอาจพบเจอเสื้อผ้ามากหน้าหลายตา ที่คุณเองยังจำไม่ได้เลยครับว่า “เราซื้อไว้ตอนไหน” รวมไปถึงเสื้อผ้าบางชิ้นที่หากหยิบมาใส่ตอนนี้ อาจตกยุคตกเทรนด์ไปไกลเลยก็เป็นได้ ดังนั้น ช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจทำให้เราเริ่มเข้าใจสไตล์ของตัวเองได้ดีขึ้นว่า เรานิยมชมชอบที่จะใส่เสื้อผ้าแบบใดกันแน่ บางท่านอาจจะชอบสไตล์ Streetwear ซึ่งใส่ได้บ่อย และเป็นเสื้อผ้าชิ้นบน ๆ ของกองเสื้อผ้าเสมอ ๆ บางท่านอาจหันกลับไปเห็นเสื้อยืดลาย Screen Logo ใหญ่แล้ว ไม่ค่อยอยากหยิบกลับมาใส่ ทั้งหมดทั้งมวลคือทิศทางที่เปลี่ยนไป และเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการค้นหาสไตล์ของตัวเอง
พอได้อยู่บ้านเป็นช่วงเวลาหลัก การได้เลือกแต่งตัวออกจากบ้านสักครึ่งหนึ่ง จึงเสมือนเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษ ที่เราได้เลือกหยิบเสื้อผ้าในตู้ แล้วจับมา Mix & Match ก่อนออกไปเจอผู้คน ซึ่งบ่อยครั้ง ตัวผู้เขียนเองก็เลือกแต่งแบบ Full Suit เลยก็มี ประหนึ่งได้กลับมาใช้ชีวิตให้สนุกอีกครั้ง ผ่านการแต่งตัวที่สะท้อนตัวตนนั่นเอง
ยังไม่นับรวมถึง “รองเท้า” ที่มีวางกองอยู่ในบ้านตามมุมต่าง ๆ จากกระแสความชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหนังหรือรองเท้าผ้าใบก็ตาม หากแต่ รองเท้าที่คุณใส่บ่อยที่สุด มีเพียงไม่กี่คู่เท่านั้น สังเกตได้จากตัวผู้เขียนเองนั้น ก็เลือกหยิบรองเท้าเพียงไม่มีคู่ออกมาสลับใส่ในช่วงปีที่ผ่านมา มันอาจไม่ใช่การใส่เพื่ออวดใคร แต่เป็นการใส่เพราะความชื่นชอบจริง ๆ ของเราเองเป็นสำคัญ
อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาก็คือ “เราเลือกแต่งตัว เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเราเอง” เสมือนเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพที่เติบโตขึ้นตามอายุ เราพัฒนาตัวตนได้ด้วยประสบการณ์ต่าง ๆ และเรายังสามารถเสริมบุคลิกภาพให้กับตัวเองได้ด้วยการแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสังคมที่เราอาศัยอยู่ ดังนั้นหากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายรอบตัวคุณ ช่วยส่งเสริมคุณค่าให้กับตัวคุณได้ นั่นจึงจะเป็นเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมต่อการหยิบมาสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นจะเป็นสไตล์ใดก็ตาม
ช่วง “เวลา” ที่ผ่านมา จึงถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้กับพวกเราทุกคนครับ ไม่ว่าจะเรื่องการทำงาน / ผู้คนรอบตัว / การให้ความสำคัญกับบุคคลรอบข้าง รวมไปถึงเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ว่าแต่ทุกท่านได้เคยลองพิจารณาเครื่องแต่งกายในมุมมองเหล่านี้บ้างหรือป่าวครับ ถ้ายัง MenDetails อยากเชิญชวนให้ทุกท่านลองสำรวจตู้เสื้อผ้าของคุณดู นี่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญ ที่จะทำให้คุณเข้าใจตัวตนได้มากขึ้นก็เป็นได้