สำหรับแวดวงเสื้อผ้าในแบบ Tailoring หรือ “การวัดตัวตัด” นั้น คำว่า “Bespoke” ถือเป็นหนึ่งในคำที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายที่สุด บางคนใช้คำนี้อย่างระมัดระวังและหมายความตามนั้นจริงๆ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ใช้คำว่า “Bespoke” อย่างไม่ละเอียดรอบคอบ ทั้งหมดเพียงเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจตัดเสื้อผ้ากับเขา และหลงเข้าใจว่าตัวเองกำลังจะได้เสื้อผ้าที่ “Bespoke” หรือตัดขึ้นเพื่อเราเองคนเดียวในโลกเท่านั้นจริงๆ
“แล้วสิ่งใดคือปัจจัยที่เราจะสามารถสังเกตและรับรู้ได้ว่า ร้านนี้เป็นร้านที่ตัดเย็บเสื้อผ้าในแบบ “Bespoke” จริงๆหรือไม่?” สำหรับ MenDetails คำตอบไม่ใช่แค่เรื่องของ “การวัดขนาด” แต่เป็นเรื่องของการเน้นหนักใน “รายละเอียด” มากกว่า วันนี้ MenDetails จะขอนำผู้อ่านทุกคนเข้าสู่โลกของคำว่า “Bespoke” ในแบบฉบับเบื้องต้น โดยจะเริ่มจากเครื่องแต่งกายที่เป็นพื้นฐานที่สุดอย่าง “เสื้อเชิ้ต Bespoke” ของแบรนด์ Ascot Chang จากฮ่องกง แบรนด์เพื่อนบ้านชาวเอเชียที่เราชื่นชมและได้แนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกันไปก่อนหน้านี้พอสมควรแล้ว
MenDetails จะค่อยๆ อธิบายถึงรายละเอียดแต่ละจุด แต่ละขั้นตอน เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถถือบทความนี้เป็น “บรรทัดฐาน” ได้ว่า หากเราไปตัดเย็บเสื้อผ้าที่ร้านใดที่เรียกตัวเองว่า “Bespoke Tailor” แต่ถ้าเขาไม่สามารถให้ความใส่ใจและลงลึกถึงรายละเอียดได้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่เรากำลังอ่านและศึกษาจากบทความนี้ ก็ต้องขอให้คิดตรึกตรองอีกทีก่อนจะเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็น “Bespoke tailor” จริงๆ
เพราะความแตกต่างอยู่ที่ “รายละเอียด”
MenDetails ได้มีโอกาสพบกับ Justin Chang ทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านตัดเสื้อในตำนานของเกาะฮ่องกงอย่าง Ascot Chang และเราเองก็ได้มีโอกาสตัดเสื้อเชิ้ตแบบ Bespoke กับทาง Ascot Chang ซึ่งถือเป็นชิ้นงานที่ Original ที่สุดของทางแบรนด์ เนื่องจากผู้ก่อตั้งร้านนี้นั่นคือ คุณ แอสคอต แชง ได้เริ่มตัดเสื้อเชิ้ตตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 จนกระทั่งทุกวันนี้ผลงานของเขาได้พิสูจน์แล้วว่า Ascot Chang คือหนึ่งในยอดฝีมือระดับครูสำหรับงานตัดเย็บเสื้อเชิ้ตตัวจริง
เราเริ่มด้วยการเลือกเนื้อผ้า และลวดลาย ซึ่งทาง Ascot Chang มีให้เลือกหลากหลายเป็นร้อยเป็นพันแบบ และราคาก็จะขึ้นอยู่กับผ้าที่ใช้โดยตรง ซึ่งจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 1,100 เหรียญฮ่องกง (HKD) หรือราว 4,500 บาท ซึ่งถือว่าราคาประหยัดกว่าเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมสำเร็จรูปมากมายหลายยี่ห้อเลยทีเดียว โดยราคานี้จะรวมการตัดเย็บทุกอย่างแล้ว จากนั้นระดับราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงผ้าราคา 10,345 HKD หรือราว 46,500 บาท อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่าจะเลือกผ้าแบบไหนด้วยนะครับ
Justin Chang ช่วยเราเลือกผ้าเสื้อเชิ้ตสีขาว 100% Cotton จาก ‘Thomas Mason” ซึ่งเป็นผ้าที่ทอในประเทศอิตาลี เนื้อผ้าที่นิ่มเหลือเชื่อ และน้ำหนักกำลังดี ทำให้เราตกลงปลงใจ อีกทั้งเราเชื่อในประโยคที่ว่า “No man can have too many classic white shirts” ดังนั้นการมีเสื้อเชิ้ตคลาสสิกสีขาวแบบ Bespoke สัก 1 ตัว จึงถือเป็นทางเลือกที่ลงตัวที่สุดสำหรับเราครับ
ต่อมาคือปกของเสื้อเชิ้ต ซึ่งที่ Ascot Chang มีให้เลือกจนตาลาย ทั้งปกแบบคลาสสิกที่มากันครบหมด รวมถึงประเภทปกที่ทาง Ascot Chang ออกแบบเองเพิ่มเติม ปกที่เราเลือกเป็นปกพิเศษที่ Justin นำเสนอ นั่นคือแบบ ‘Semi-Spread Collar’ แน่นอนว่าเราเห็นดีเห็นงามตาม Justin ไปด้วย รายละเอียดถัดไปคือสาบเสื้อ ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สาบเสื้อแบบไหน จะให้เห็นรอยเย็บ หรือว่าจะซ่อนรอยเย็บ หรือจะให้ปิดกระดุมไปทั้งหมดเลยก็ได้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ต้องเลือกอีกมากมาย เช่น จำนวนกระดุมบนข้อมือเสื้อ, ลักษณะของปลายแขนเสื้อแบบ Barrel Cuff หรือ French Cuff, จำนวนกระดุมของแขนเสื้อเชิ้ตช่วงระหว่างข้อมือถึงข้อศอก ฯลฯ ตัวเลือกทั้งหมดเราสามารถปรับได้ตามที่เราต้องการ
-จะเห็นได้ชัดว่า ปลายแขนของทั้ง 2 ข้างจะกว้างไม่เท่ากัน ข้างขวาจะเล็กพอดีข้อมือ ส่วนข้างซ้ายนั้นจะถูกตัดให้กว้างขึ้นเล็กน้อยสำหรับนาฬิกาเรือนโปรด-
ขั้นตอนต่อมาช่างตัดเสื้อของ Ascot Chang จะวัดตัวในเบื้องต้นก่อน และจะนำเสื้อเชิ้ตที่มีขนาดใกล้เคียงที่สุดมาให้เราลองสวมใส่ เพื่อทำการประมาณขนาดคร่าวๆ ของเสื้อเชิ้ต แล้วจึงค่อยๆ ปรับรายละเอียดส่วนต่างๆ ตามรูปร่างลักษณะของเรา คำถามมากมายที่ช่างตัดเสื้อถามเราเช่น “คุณต้องการให้ ‘กระดุมคอ’ ติดขึ้นมาสูงมากน้อยแค่ไหน?” หรือ ปกติเราใส่นาฬิกาหรือไม่? และจะใส่ที่ข้างซ้ายหรือข้างขวา? นาฬิกาเป็นแบบบางหรือแบบหนา? ทั้งนี้เพื่อให้ช่างกะประมาณขนาดความกว้างของปลายแขนเสื้อเชิ้ตฝั่งที่เราใส่นาฬิกาเป็นประจำ ให้สามารถคลุมปิดนาฬิกาได้แบบพอดีๆ เหล่านี้คือรายละเอียดเล็กน้อยที่งานตัดเสื้อแบบ Bespoke จำเป็นต้องใส่ใจ
-เครื่องมืดวัดความลาดเอียง ถือเป็นอีกขั้นตอนของการวัดอย่างละเอียด ของงานในระดับ Bespoke-
การวัดตัวของ Ascot Chang ทำให้เราได้ค้นพบว่า ไหล่ทางด้านซ้ายของเราลาดเอียง (slope) มากกว่าไหล่ทางด้านขวา Ascot Chang ใช้เครื่องมือที่คล้ายกับไม้วัดระดับน้ำของวิศวกรในการวัดระดับความลาดเอียงของบ่าและไหล่ของผู้ชายแต่ละคน อีกทั้งช่วงแขนขวาของเราก็ยาวกว่าแขนซ้ายประมาณครึ่งนิ้วอีกด้วย Justin บอกกับเราว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ มนุษย์เราทุกคนมักมีไหล่และแขน ที่เอียงและยาวไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น สภาพการทำงาน, ความถนัดในการใช้มือข้างใดข้างหนึ่ง ฯลฯ เพียงแต่เราไม่ค่อยได้สังเกตกันนัก แต่ช่างตัดเสื้อ Bespoke ทุกคนต้องมองให้เห็นและปรับเสื้อให้ตรงตามลักษณะเหล่านี้ให้ได้
-การตีเกล็ดเสื้อด้านหลังนั้น Ascot Chang ใส่ใจรายละเอียดถึงขนาดตำแหน่งที่ตี จะต้องเข้ากับเส้นสะบัก เพื่อให้ได้ทรงที่สวยงาม ตามสรีระของผู้สั่งตัดนั่นเอง-
นอกจากนี้ช่วงแผ่นหลังของเรายังมีลักษณะที่เรียกว่า ‘Slightly Hollow Back’ โดยมีความโค้งต่อเนื่องจากแผ่นหลังช่วงบนเว้าเข้ามาด้านในจนถึงหลังช่วงล่างมากกว่าปกติเล็กน้อย ทาง Ascot Chang จึงแนะนำให้เพิ่ม “เกล็ดเสื้อด้านหลัง” เป็นเส้นแนวตั้ง 2 เส้น หรือที่เรียกว่า ‘Back Darts’ เพื่อช่วยให้ตัวเสื้อด้านหลังแนบเข้ารูปกับแผ่นหลังมากยิ่งขึ้น ไม่ให้มีผ้าเหลือกองอยู่ด้านหลังเหนือขอบกางเกงมากเกินไป และสุดท้าย ช่างตัดเสื้อจะเก็บภาพของเราทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง เพื่อนำไปประกอบการตัดเย็บ ให้ช่างที่ลงมือเย็บเสื้อให้เราจริงๆได้รู้ว่า เรายืนอย่างไร และมีรูปร่างโดยรวมแบบไหน ช่างที่ชำนาญงานจะสามารถกะเกณฑ์จากรูปของเราได้ครับ
-รังดุมที่ถักด้วยมือ จะมีความละเอียดค่อนข้างสูงมาก และให้สังเกตเส้นที่ต่อเนื่องกันตรงช่วง Collar บอกเลยครับว่า “เนี้ยบ” แบบสุดๆ จริงๆ-
Justin บอกกับเราว่างานเย็บเสื้อของ Ascot Chang ต้องใช้เวลาในการตัดเย็บค่อนข้างนาน ตัวอย่างเช่นรังดุมที่ถักด้วยมือ และการปรับตามรายละเอียดซึ่งลูกค้าแต่ละคนย่อมมีไม่เหมือนกัน เสื้อเชิ้ต Bespoke ของ Ascot Chang จะใช้เวลาในการตัดเย็บประมาณ 1 เดือน และสามารถจัดส่งมาให้เราได้ที่เมืองไทย ปัญหาเดียวของผู้ชายไทยคือเรื่องการวัดตัว ซึ่งเราต้องเดินทางไปวัดตัวที่ฮ่องกงให้เรียบร้อยก่อน ต่อเมื่อเราวัดตัวทั้งหมดครบแล้วและร่างกายของเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เราก็สามารถสั่งตัดตัวต่อไปโดยใช้แพทเทิร์นเดิมได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเดินทางไปฮ่องกงอีกแล้วครับ
หลังจากที่เราได้ลองสวมใส่เสื้อเชิ้ต Bespoke ของ Ascot Chang ที่เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เราเองต้องยอมรับว่า “ความละเอียด” ในการตัดเย็บคือสิ่งที่ทำให้เสื้อเชิ้ตของ Ascot Chang แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่เราเคยตัดมาจริงๆ ทั้งขนาดของข้อมือด้านซ้ายที่คลุมนาฬิกาข้อมือของเราได้แบบพอดีๆ, ความยาวของแขนที่จรดเส้นข้อมือเป๊ะ, ไหล่ซ้ายที่ตั้งขึ้นเล็กน้อยเพื่อชดเชยความลาดเอียง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เกล็ดหลัง” ที่เราเคยตั้งแง่ว่าดู Feminine หรือมีความเป็นผู้หญิงมากเกินไป แต่เอาเข้าจริงกลับช่วยแก้ไขปัญหา “หลังเว้า” ของเราได้อย่างดีเยี่ยม จากเมื่อก่อนที่เราเคยสงสัยว่า ทำไมเสื้อเชิ้ตที่เราใส่จึงมีเนื้อผ้าส่วนเกินพอกโป่งอยู่ตรงด้านหลังส่วนล่างเยอะเหลือเกิน แต่ในที่สุด Ascot Chang ก็ทำให้เรารู้ว่า เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ในขณะที่ไม่เคยมีช่างตัดเสื้อที่ไหนแนะนำเราแบบนี้มาก่อน
ถือเป็น MDs’ RECOMMEND อย่างยิ่ง สำหรับใครก็ตามที่มีโอกาสเดินทางไปฮ่องกง MenDetails ขอแนะนำให้ลองตัดเสื้อเชิ้ต Bespoke กับ Ascot Chang ที่ราคาเริ่มต้นที่ 1,100 เหรียญฮ่องกงก่อน เราเชื่อว่าเนื้อผ้าที่ Ascot Chang เลือกมานั้นมีคุณภาพที่ดี และด้วยงานตัดเย็บที่ยอดเยี่ยมกับขนาดและรายละเอียดทั้งหมดที่พอดีเป๊ะ อาจทำให้คุณไม่คิดจะย้อนกลับไปหาเสื้อเชิ้ตสำเร็จรูปอีกเลยก็เป็นได้
ใครๆ ในโลกนี้ก็สามารถพูดว่าร้านของตัวเองเป็นร้านเสื้อผ้าแบบ ‘Bespoke’ ได้ทั้งนั้น หากคำว่า Bespoke ของเขาเป็นเพียงการเอาสายวัดมาวางทาบ ดูขนาดความกว้างยาว แล้วตัดเย็บเสื้อผ้าออกมาตามที่วัดได้ ให้ลูกค้าใส่แล้วไม่ดูหลวมหรือคับเกินไปเท่านั้นจริงๆ แต่ MenDetails กลับไม่คิดเช่นนั้น และเราต้องการที่จะสร้างความเข้าใจเสียใหม่สำหรับผู้ชายที่กำลังเตรียมตัวพัฒนาการแต่งกายของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม พวกเราควรรู้ว่าคำว่า Bespoke มีความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า “วัดตัวตัด” และ การเอาใจใส่ในรายละเอียดทุกขั้นทุกตอนแบบที่เราได้อธิบายมาทั้งหมดจาก เสื้อเชิ้ต Bespoke ของ Ascot Chang คือ “มาตรฐาน” ที่คนที่จะเรียกตัวเองได้ว่าเป็น Bespoke Shirt Maker พึงจะมี MenDetails มั่นใจว่ามีหลายร้านที่ทำได้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่า แต่ขออย่าได้หลงเชื่อใครที่ทำได้น้อยกว่านี้นะครับ