ตามความเข้าใจของคนโดยมากแล้วชอบบอกว่ากินไก่มากๆแล้วจะเป็นเก๊าท์แต่ความจริงนั้นไม่ใช่อย่างที่ใครๆว่าไว้ มิเช่นนั้นนักเพาะกายที่ต้องทานอกไก่วันละหลายกิโลกรัมก็คงจะเป็นเก๊าท์กันทุกคนแล้วสิ
อธิบายกันสักหน่อยว่า สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์นั่นก็คือ “การสะสมของกรดยูริกในร่างกาย” กรดยูริกเป็นสารชนิดหนึ่งในร่างกายที่สร้างขึ้นที่ตับ โดยกรดยูริกเกิดจากการสลายตัวของสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “พิวรีน” ซึ่งร่างกายจะได้รับสารพิวรีนมาจาก 2 แหล่ง คือ 1.อาหารที่รับประทาน เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ต่างๆ รวมถึงผักบางชนิด และ 2.การสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย
กรดยูริกที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางไต มีส่วนน้อยที่จะถูกขับออกทางลำไส้ ปกติแล้วคนทั่วไป จะมีกรดยูริกในเลือดระหว่าง 3-7 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร ซึ่งถ้ามีระดับกรดยูริกในเลือดมากกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร แสดงว่ามีกรดยูริกในเลือดสูง มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเป็นโรคเก๊าท์
ประเด็นก็คือ คนเราแต่ละคนนั้นมีระดับความสามารถในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายไม่เท่ากันอันเนื่องมาจากเหตุผลด้านพันธุกรรม บางคนขับออกไปได้มาก ส่วนใครก็ตามที่ร่างกายขับกรดยูริกออกไปได้น้อย ทำให้เมื่อมีกรดยูริกตกค้างมากเกินไป และเมื่อกรดยูริกส่วนเกินนี้ไปสะสมตามข้อต่อต่างๆในร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรงตามข้อต่อเหล่านั้น อันเป็นอาการของโรคเก๊าท์นั่นเอง
“คนที่ไม่เป็นเก๊าท์จะกินไก่เยอะแค่ไหนก็ไม่เป็นเก๊าท์ ส่วนคนที่เป็นอยู่แล้วหรือเป็นกลุ่มเสี่ยงเมื่อกินไก่หรืออาหารที่มีสารพิวรีนมากๆ ก็จะทำให้เป็นหนักมากขึ้น”
ข้อเท็จจริงก็คือโรคเก๊าท์ส่วนมากจะเกิดโดยกรรมพันธุ์ ซึ่งเราก็ไม่สามารถเลือกได้ แต่เราสามารถเลือกดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ส่งผลต่อโรดเก๊าท์ ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นโรคเก๊าท์ หรือมีปริมาณกรดยูริกในเลือดค่อนข้างสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูงอย่างเนื้อไก่ เครื่องในสัตว์ต่างๆ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันจะไปทำให้อาการกำเริบได้เร็วยิ่งขึ้นครับ
ส่วนคนที่กรรมพันธุ์ไม่ได้กำหนดมาให้เป็นโรคเก๊าท์ ต่อให้กินไก่ทั้งวันมันก็ไม่ทำให้เป็นเก๊าท์ขึ้นมาได้หรอกครับ