ในตอนที่แล้ว MenDetails ได้พูดถึงข้อจำกัดของระบบการแลกเปลี่ยนโดยตรงหรือ Barter System ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์ต้องประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า “เงิน” ขึ้นมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เปรียบเทียบแล้ว “เงิน” ก็เหมือนเป็น “สิ่งกักเก็บหยาดเหงื่อแรงงาน” ที่พวกเราตั้งใจทำแล้วนำไปสะสมไว้ใน “เงิน” เพื่อหวังว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เราต้องการในอนาคต และในตอนที่สองนี้เราจะมาดูกันว่า อะไรคือคุณสมบัติของ เงินที่ดี ที่พวกเราควรทำความเข้าใจกันครับ
เงินที่ดี จะสามารถแตกออกเป็นหน่วยย่อยได้ละเอียดและชัดเจน
ข้อจำกัดเชิงปริมาณ คือ เหตุผลแรกที่ทำให้ Barter System มีปัญหา ดังนั้น “เงินที่ดี” จะต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ด้วยการแตกหน่วยย่อยได้อย่างชัดเจนลงตัว ตัวอย่างเช่น เงินบาทไทยมูลค่า 1,000 บาท แตกเป็นแบงก์ 100 ได้ 10 ใบ แต่ละใบแลกเหรียญบาทได้ 100 เหรียญ และแต่ละเหรียญมีหน่วยย่อยอีก 100 สตางค์ การแยกหน่วยย่อยได้ชัดเจนแบบนี้เพื่อให้สามารถตีมูลค่าของสิ่งของที่จะแลกเปลี่ยนได้อย่างละเอียดแม่นยำที่สุดนั่นเอง เงินที่สามารถแตกหน่วยย่อยได้ละเอียดและชัดเจนกว่า จะถือเป็นเงินที่ดีกว่าเงินที่แตกหน่วยย่อยได้คลุมเครือและต้องกะเกณฑ์ตลอดเวลา
เงินที่ดีจะสะดวกสบายในการพกพาเคลื่อนย้าย
เงินที่พกพาสะดวก และเป็นเงินที่เราสามารถเคลื่อนย้ายที่อยู่ของมันได้ง่ายกว่า จะถือเป็นเงินที่ดีกว่าเงินที่พกพาลำบาก จะขนย้ายถ่ายโอนไปไหนก็มีอุปสรรคหรือกฎเกณฑ์คอยขวางกั้นนั่นเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ การถือเงินบาทไทยมูลค่า 5,000 บาท ที่เป็นธนบัตรใบละ 1,000 บาทจำนวน 5 ใบ ย่อมสะดวกในการขนย้ายไปไหนมาไหนได้ดีกว่าเหรียญ 1 บาท จำนวน 5,000 เหรียญแน่นอน
เงินที่ดี จะอยู่คงทนยาวนานไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
การอยู่คงทนของเงินสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. ความคงทนในเชิงกายภาพ คือ มันต้องไม่ถูกทำลายลงง่าย ๆ กับในเชิงมูลค่า กล่าวคือ เงินที่ดีไม่ควรเสื่อมมูลค่าลงง่าย ๆ ด้วย สาเหตุก็เพราะ “เงิน” คือ สิ่งที่มนุษย์เลือกที่จะนำมากักเก็บหยาดเหงื่อแรงงานและเวลาในการทำงานของตัวเอง เพื่อหวังที่จะนำสิ่งเหล่านั้นออกมาแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตัวเองต้องการในอนาคต ดังนั้น “เงิน” ที่อยู่คงทนถาวร ไม่เน่าสลายหายไปจากโลกนี้ และที่สำคัญคือ “ไม่เสื่อมค่าลงง่าย ๆ” ย่อมถือเป็นสิ่งที่กักเก็บหยาดเหงื่อแรงงานของเราได้ดีกว่า เงินที่ผุพังง่าย, ถูกทำลาย, ย่อยสลาย และสูญเสียมูลค่าได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่น หากเราเลือกเก็บมูลค่าของแรงงานของเราไว้ใน ‘ทองคำ’ ที่มีคุณสมบัติทางเคมีดีเยี่ยม ไม่เน่าสลาย ไม่ขึ้นสนิม ไม่ผุพังง่าย ย่อมดีกว่าการที่เราจะเอามูลค่าของแรงงานของเราไปเก็บไว้ที่ ‘เปลือกหอยหายาก’ ซึ่งถูกทำลายได้ง่ายกว่า และผุพังได้ง่ายกว่าตามธรรมชาตินั่นเอง
เงินที่ดี ต้องได้รับการยอมรับโดยผู้คนเป็นจำนวนมาก “ยิ่งมากยิ่งดี”
แม้เราจะมีสิ่งที่แตกหน่วยย่อยได้ชัดเจน, พกพาง่าย และคงทนเป็นอมตะ แต่คุณสมบัติเหล่านั้นย่อมไม่มีความหมายใด ๆ และสิ่งนั้นจะไม่สามารถเป็น “เงิน” ได้เลย หากปราศจากเครือข่ายการยอมรับจากผู้คนเป็นจำนวนที่มากพอ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Network Effect” ซึ่งเงินที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนจำนวนมากกว่า ย่อมเป็นเงินที่ดีกว่าเงินที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนจำนวนน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น หากเราเปรียบเทียบเงินสกุลบาทไทย กับ เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในบริบทของโลกทั้งใบนั้น มีคนที่ยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นจำนวนมากกว่าคนที่ยอมรับเงินบาทไทย เงินดอลลาร์จึงมี “Network Effect” ที่กว้างไกลกว่า และมีพลังอำนาจในการใช้งานมากกว่านั่นเอง
การยกตัวอย่างของคุณสมบัติของเงินที่ดีทั้ง 4 ข้อ ข้างต้นของ MenDetails.com นั้น เป็นเพียงการยกตัวอย่างแบบเบื้องต้นเพื่อเน้นให้เข้าใจง่ายเท่านั้น แต่หากผู้ชายคนไหนลองหยิบคุณสมบัติของเงินที่ดีทั้ง 4 ข้อมาพิจารณาให้ลึกซึ้ง แล้วมองไปรอบตัวว่า สิ่งของรอบตัวแต่ละชิ้นนั้น สามารถเป็นเงินที่ดีให้เราได้หรือไม่ แล้วลองเปรียบเทียบกันระหว่าง เงินสกุลต่างประเทศต่าง ๆ, เงินบาทไทยในกระเป๋า, ชุดสูท, นาฬิกาข้อมือ, ทองคำ, หุ้น, คอนโด หรือบ้านที่เราอยู่อาศัย ลองพิจารณาดูว่า ของแต่ละอย่างมีคุณสมบัติที่จะเป็นเงินได้ไหม และสิ่งใดเป็นเงินที่ดีกว่ากัน
เราอาจจะพอมองเห็นว่าที่ผ่านมาเราเลือกกักเก็บหยาดเหงื่อแรงงานของเราไว้ที่ไหน และจะดีกว่าหรือไม่ที่ต่อไปเราจะเลือกเก็บไว้ใน “เงินที่ดีกว่า” เพื่ออนาคตทางการเงินของตัวเองและคนที่เรารัก