ทองคำ คือโลหะชนิดหนึ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ให้มูลค่ากับมันอย่างจริงจังและมีมาตรฐาน ในยุคหนึ่ง ทองคำ คือสิ่งที่หนุนหลังมูลค่าของเงินตราในสกุลต่าง ๆ ว่ามีความน่าเชื่อถือและมีความมั่นคง แม้ในปัจจุบันระบบดังกล่าวได้ถูก “แหก” โดยมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา แต่ทองคำก็ยังคงทวีมูลค่าไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นนี้เองทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าเราควร ลงทุนทองคำดีไหม วันนี้ MDs จะนำข้อดีข้อเสียของการลงทุนในทองคำมาเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้อ่านพิจารณากันว่า การลงทุนในทองคำเหมาะกับสไตล์การลงทุนโดยรวมของเราหรือไม่
ข้อดีของการลงทุนในทองคำ
เกราะกำบังยามเศรษฐกิจตกต่ำ
ในทางทฤษฎีแล้วนั้น เมื่อสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจของโลกเกิดความไม่แน่นอน หรือมีข่าวที่กระทบความมั่นคง ราคาของทองคำจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะทยอยเข้าซื้อด้วยความเชื่อมั่นว่า โลหะสีเหลืองอร่ามอย่าง “ทองคำ” จะยังคงมีมูลค่าในตัวมันเอง ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรก็ตาม ทองคำจึงเป็นเกราะกำบังที่ดีเยี่ยมในยามเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ตลาดหุ้นอาจจะตก กองทุนรวมอาจขาดทุน แต่ทองคำจะสร้างผลตอบแทนที่ดีสวนทางให้คุณได้บ้างไม่มากก็น้อย
เป็นความสุขทางใจ
บางคนอาจเลือกลงทุนกับทองคำในรูปแบบของเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ, กำไล, แหวน ฯลฯ ทองคำในลักษณะเช่นนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่เรายังได้ใช้, ได้ใส่ และ “ได้โชว์” ในระหว่างทางอีกด้วย บางคนเรียกกระบวนการนี้ว่า “กำไรใช้” คือได้ความสุขทางใจอีกทอดหนึ่งนอกเหนือจากราคาที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
มีสภาพคล่องที่ดีเยี่ยม
มูลค่าของทองคำเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกเห็นตรงกัน โดยมีราคาตลาดโลกเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญ ทองคำจึงมีสภาพคล่องที่ดีเยี่ยม เราสามารถถือหรือพก “ทองคำ” ไปที่ไหนก็ได้ในโลกโดยไม่ต้องกลัวอดตาย ตราบใดที่จุดหมายปลายทางนั้นมีร้านรับซื้อทอง เราก็สามารถแลกทองแปรเปลี่ยนเป็นเงินตราสกุลของประเทศที่เราอยู่ได้อย่างทันทีทันใด ในขณะที่ การลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม หรือที่ดิน ทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน
ข้อเสียของการลงทุนในทองคำ
ราคาทองคำไม่ได้ขึ้นเร็วอย่างที่หลายคนคิด
เราอาจเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “สมัยก่อนนะ ทองคำบาทนึง ราคาไม่เท่าไหร่เอง ตอนนี้หลายหมื่นแล้ว” ทำให้เรามีภาพติดหัวว่า ราคาทองคำนั้นพุ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเราไปพิจารณาสถิติย้อนหลังกันอย่างจริงจังจะพบว่า ราคาทองคำไม่ได้ขึ้นเร็วขนาดนั้น
โดยราคาทองคำในตลาดโลกเมื่อปี ค.ศ.1990 (พ.ศ. 2533) อยู่ที่ราว 770 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 ออนซ์ แปลงเป็นเงินไทยได้ประมาณ 19,250 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนในยุคนั้น จนมาถึงปี 2020 (พ.ศ.2563) ราคาทองคำอยู่ที่ราว 2,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 ออนซ์ แปลงเป็นเงินไทยได้ประมาณ 63,550 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน (ทองคำ 1 ออนซ์ ใกล้เคียงทองคำหนักประมาณ 2 บาท) จะเห็นว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ทองคำสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 4% ทบต้นต่อปีเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด
ต้นทุนในการเก็บรักษา
หากเราตัดสินใจลงทุนในทองคำโดยการซื้อทองคำเป็นแท่งหรือเป็นเครื่องประดับเก็บไว้ สิ่งที่เราต้องระวังอย่างยิ่งคือเรื่องการเก็บรักษา การเก็บทองคำไว้ในบ้านต้องทำอย่างระมัดระวัง บางคนอาจต้องซื้อตู้เซฟใบใหญ่เพื่อใส่ทอง และถึงมีตู้เซฟแล้วก็ยังไม่วายหวาดระแวงกลัวว่าใครจะมาขโมยตู้เซฟไป ส่วนใครที่ตัดสินใจเช่าตู้เซฟของธนาคารเพื่อความปลอดภัยก็อาจสบายใจได้มากขึ้น แต่เราก็ต้องเสียค่าเช่าตู้เซฟอยู่ดี
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันมีการลงทุนทองคำทางเลือก นั่นคือการลงทุนในตราสารอนุพันธ์อย่าง Gold Futures หรือ Options โดยไม่จำเป็นต้องมีทองคำจริง ๆ เก็บไว้ จึงสามารถตัดต้นทุนการเก็บรักษาออกไปได้ แต่นั่นหมายถึงการลดข้อดีในเรื่องของ “ความสุขทางใจ” ในการลงทุนซื้อทอง เพราะเราไม่มีโอกาสได้ใส่, ได้โชว์ พกไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ได้ ข้อดีนี้จึงหักล้างกับข้อเสียไปโดยปริยาย
ทองคำไม่สามารถสร้าง “รายได้” ในระหว่างที่เราถือครอง
รายได้ระหว่างการถือครอง คืออีกจุดที่เราควรพิจารณา หากเราลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม เรามีโอกาสได้รับรายได้ในรูปแบบของ “เงินปันผล” ระหว่างที่เราลงทุนด้วย หรือหากเราลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เรามีทางเลือกที่จะนำมาให้เช่าเพื่อรับค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ที่เราเป็นเจ้าของได้ แต่ “ทองคำ” เป็นแค่โลหะสีเหลืองที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ บางคนอาจบอกว่า เราสามารถนำสร้อยคอทองคำไปให้คนอื่นเช่าเพื่อออกงานได้ ซึ่งนั่นอาจเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่เอาเข้าจริง ๆ คงไม่มีใครอยากทำตัวเองให้ “ยุ่งยากขนาดนั้น”
ทั้งหมดข้างต้นคือ ข้อดี และ ข้อเสีย ของการลงทุนในทองคำ ที่ผู้ชายเราควรรู้ก่อนจะกระโดดเข้าสู่สังเวียนการลงทุนในโลหะสีเหลืองมากด้วยมูลค่าชนิดนี้ อ่านแล้วลองช่างน้ำหนักและพิจารณากันดูว่า ลงทุนทองคำดีไหม และ เราเหมาะกับการลงทุนในทองคำมากขนาดไหน แต่ในทัศนะของ MenDetails นั้น การลงทุนในทองคำควรเป็นทางเลือกหนึ่งในการกระจายการลงทุน มากกว่าที่จะเป็น “พาหนะหลัก” ในการนำพาเราไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยครับ