คำว่า Fire Movement มีจุดเริ่มต้นแรกสุดจากแนวคิดเรื่องการจัดการทางการเงินเพื่อมุ่งหวังให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการและการตกเป็นทาสของเงินตรา โดยในปี ค.ศ.1992 Vicki Robin (วิกกี้ โรบิ้น) และ Joe Dominguez (โจ โดมิงเกวซ) ได้ร่วมกันตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “Your Money or Your Life” (เงิน หรือ ชีวิตของตัวเอง) เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เรียกว่า Financial Independence หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “อิสรภาพทางการเงิน”
ทั้งสองคนเชื่อว่ามนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้บนความพอเพียง และสามารถตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เพื่อเก็บออมเงินที่ได้จากการ “ทำงานประจำ” แล้วนำมา “ลงทุน” ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านั้นครอบคลุมค่าใช้จ่ายอันแสนประหยัดและพอเพียงของเราเมื่อไหร่ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำงานประจำอีกต่อไป เราจะมี “อิสรภาพ” ในเรื่องของเวลาที่จะทำสิ่งสร้างสรรค์ต่าง ๆ ที่เราต้องการ โดยไม่ถูกพันธนาการจากวันและเวลาที่ต้องไปทำงานเหมือนคนอื่น ๆ
แล้ว FIRE Movement คืออะไรกันแน่?
แนวคิดเรื่องของ อิสรภาพทางการเงิน จากหนังสือ Your Money Or Your Life ค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสการต่อต้านวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ที่ทำให้คนเราใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น จนไม่มีเงินเก็บและแทบไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้หากพรุ่งนี้ไม่มีงานประจำให้ทำอีกต่อไป กระแสต่อต้านดังกล่าวก่อให้เกิดแนวคิดที่เรียกว่า FIRE ขึ้น
คำว่า FIRE คือตัวย่อที่ประกอบจากคำ 4 คำ ได้แก่ Financial Independence Retire Early หรือ “อิสรภาพทางการเงินเพื่อการเกษียณให้ได้อย่างรวดเร็ว” ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ การกำหนดค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้ “ประหยัดและพอเพียง” ที่สุด เพื่อส่วนที่สองคือการอดออมเงินที่เหลือทั้งหมดไป “ลงทุน” โดยมีเป้าหมายในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีขนาดประมาณ 25 เท่าของรายได้แต่ละปี และแต่ละคนมักจะตั้งเป้าหมายระยะเวลาที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนดังกล่าวให้ได้ภายใน 10 ปี
FIRE Movement จึงเป็นกระแสของกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องดังกล่าว และต้องการสร้างสังคมการเรียนรู้เพื่อช่วยผลักดันกันและกันให้ไปสู่เป้าหมาย โดยมีโลกอินเตอร์เน็ตและสื่อออนไลน์เป็น “ตัวเร่ง” ในการแพร่กระจายแนวคิดเรื่อง FIRE ให้กว้างไกลออกไปมากยิ่งขึ้น ทั้งจาก บล็อกเกอร์การเงิน และ Social Media ต่าง ๆ ที่ทุกคนมาบอกเล่าถึงเรื่องราวการใช้ชีวิตอย่างประหยัดและวิธีการลงทุนเพื่อสะสมรายได้เหล่านั้น จนมีจำนวนเงินที่มากพอถึงขนาดที่ทำให้พวกเขาสามารถบอกตัวเองได้ว่า “ต่อให้เราไม่ได้รับเงินเดือนจากงานประจำเลย เราก็ยังมีรายได้จากการลงทุนที่เพียงพอสำหรับเลี้ยงชีพได้ทุกเดือนอยู่แล้ว”
วิธีการของ FIRE
- กำหนดรายจ่ายของตัวเองให้สมเหตุสมผลที่สุด ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกให้หมด และ สำรวจตัวเองให้ละเอียดรอบคอบว่าเรามีรายจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ต่อปี ในที่นี้ขอยกตัวอย่างในบริบทของประเทศไทย เช่น การกำหนดรายจ่ายส่วนตัวของตัวเองที่ 20,000 บาทต่อเดือน หรือเท่ากับ 240,000 บาทต่อปี
- ศึกษาการลงทุนแบบ Passive Investment เช่นการลงทุนใน ตราสารหนี้, กองทุนรวมดัชนี หรือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่ดีและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนให้ได้เท่ากับ 25 เท่าของรายจ่ายต่อปีของตัวเอง ในที่นี้ตามตัวอย่างที่เรากำหนดรายจ่ายของเราเองเท่ากับ 240,000 บาทต่อปี เมื่อนำไปคูณกับ 25 จะได้เท่ากับ 6,000,000 บาท
- ออกไปหางานทำ เพื่อสร้างรายได้ และ ตั้งใจเก็บออมเงินอย่างหนักให้ได้ 50% – 80% ของรายได้ของเรา แล้วจึงนำเงินดังกล่าวไปลงทุนเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนให้ได้ครบ 6,000,000 บาทภายในเวลาที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ เมื่อสำเร็จเราก็เข้าข่ายผู้ที่มี “อิสรภาพทางการเงิน” ตามความหมายของ FIRE ได้แล้วครับ
ประเภทของ FIRE Movement
แม้ FIRE Movement คือ แนวทางที่มีความชัดเจนอยู่ในตัว แต่ทว่ามนุษย์เราแต่ละคนนั้นย่อมมีความต้องการและความจำเป็นในการใช้จ่ายที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นในขบวนการ FIRE Movement จะมีรูปแบบย่อย ๆ ตามสไตล์ของแต่ละคนดังนี้
Lean FIRE คือกลุ่มคนที่ตั้งใจ “รัดเข็มขัด” อย่างจริงจัง จนบางครั้งพาลทำให้ผู้อื่นตั้งข้อสงสัยว่าเขาจะหาความสุขได้อย่างไรจากการที่จะต้องประหยัดอดออมถึงขั้นเรียกได้ว่า “ขี้เหนียว” เสียขนาดนั้น แต่ข้อดีของ Lean FIRE ก็คือเป้าหมายที่ต่ำเตี้ยมากทำให้กลุ่ม Lean FIRE สามารถเอื้อมไปถึงเป้าหมายได้รวดเร็วกว่า ด้วยความต้องการในการใช้จ่ายในแต่ละวันที่น้อยมากนั่นเอง
Fat FIRE คือกลุ่มคนที่ต้องการใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป ยังอยากที่จะใช้จ่ายตามใจฉันบ้างและไม่อยาก “รัดเข็มขัด” จนอึดอัดเหมือนกลุ่ม Lean FIRE ดังนั้นกลุ่มคนกลุ่มนี้ต้องขยันให้มากขึ้นและเก็บออมมากขึ้นกว่า FIRE แบบอื่นเป็นเท่าตัว และด้วยมาตรฐานที่สูงขึ้นก็อาจทำให้พวกเขาไม่สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนได้ตามเป้าหมายภายในเวลาที่รวดเร็วนัก
Barista FIRE คือกลุ่มคนที่แตะถึงอิสรภาพทางการเงินเช่นกัน โดยเขามีรายได้จากพอร์ตการลงทุนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนตัวแบบ “พอดิบพอดี” เขาจึงสามารถลาออกจากงานประจำที่ต้องตอกบัตรเข้างาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นได้แล้ว แต่อย่างไรก็ดี Barista FIRE ยังคงหางานนอกเวลา หรือ Part Time ทำอยู่บ้าง เพื่อนำมาเป็นรายได้เสริมสำหรับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในบางโอกาส จะได้ไม่เป็นการรบกวนพอร์ตการลงทุนที่ตัวเองได้สร้างไว้
Coast FIRE คือกลุ่มคนที่มีเงินออมที่มากพอที่จะโตไปเป็นเงินก้อนในการเกษียณอายุของตัวเองแล้ว เช่น หากเราตั้งใจจะมีเงินก้อนสำหรับการเกษียณอายุที่ 6,000,000 บาทเมื่ออายุครบ 60 ปี โดยเราเชื่อว่าเราสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5% ต่อปีแบบทบต้น การเก็บเงินให้ได้ 1,400,000 บาทในวันที่เรามีอายุครบ 30 ปี จะทำให้เราอยู่ในประเภทของ Coast FIRE เพราะเงินจำนวน 1,400,000 บาทที่สามารถหาผลตอบแทนได้ 5% ทบต้นต่อปีนั้นจะเติบโตไปเป็น 6 ล้านบาทในเวลา 30 ปีนั่นเอง อย่างไรก็ดี กลุ่ม Coast FIRE ถือเป็นหลักหมุดหรือก้าวแรกสู่อิสรภาพทางการเงินเท่านั้น เพราะพวกเขายังจำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายประจำวัน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พอจะสบายใจได้ว่า เขาจะไม่ลำบากในวัยเกษียณที่อายุ 60 ปีแล้วนั่นเอง
FIRE Movement คือ การ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ควรทำตามดีไหม?
สำหรับกลุ่มคนที่ยึดมั่นและศึกษาแนวคิดของ FIRE อย่างใกล้ชิด พวกเขาไม่ได้มอง FIRE เป็นแค่เรื่องของการจัดการเงิน แต่มักจะขยายความให้เป็น “ปรัชญา” ในการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและพอเพียง พวกเขาเชื่อว่าการใช้จ่ายซื้อสิ่งของแบบตามใจอยากคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยังตกอยู่ในพันธนาการและกลายเป็นทาสของเงินตราแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น
FIRE จึงเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและสอดคล้องกับวิถีสมถะของทางพุทธศาสนา รวมถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ รัชกาลที่ 9 ได้อย่างน่าทึ่ง โดยทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่การพึ่งพาตนเองและดำรงชีวิตได้อย่างปกติบนวิถีแห่งความพอดีของตัวเอง ไม่มักมากหรือปล่อยใจให้กิเลสภายนอกยั่วยุให้ใช้จ่ายอย่างไม่อั้น เพียงเพราะความรู้สึกที่ว่า “เราจ่ายไหว” จนไม่มีการวางแผนถึงอนาคตในยามที่ไม่มีแรงที่จะออกไปทำงานหาเงินได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดีมีสิ่งหนึ่งที่ MenDetails ขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตนั่นคือ การรัดเข็มขัดที่ “ตึงเกินไป” อาจทำให้การเดินทางตามวิถีของ FIRE เกิดความเครียดและอาจสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่นได้เช่นกัน เราจึงไม่ควรนำคำว่า “ประหยัดค่าใช้จ่าย” ไปปนกับคำว่า “ตระหนี่ถี่เหนียว” การประหยัดของเราควรจะอยู่บนความพอดีที่จะทำให้เราสามารถจัดการการเงินในวิถีทางของ FIRE ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ไม่เครียดจนท้อและล้มเลิกในที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งคือ MenDetails ไม่เชื่อในเรื่องของการ “เกษียณ” ในแบบที่เราไม่คิดจะทำงานใด ๆ อีกต่อไปเลย นั่นเพราะ MenDetails เชื่อว่าชีวิตของเราทุกคนเกิดมาเพื่อการสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมรอบข้าง ดังนั้นคำว่า Retire ในที่นี้จึงไม่ควรที่จะเป็นการเกษียณแบบ “อยู่เฉย ๆ ตลอดไป” แต่เราควรหางานอดิเรกหรือสิ่งที่เรารักและหลงใหลจริง ๆ แต่ไม่สามารถทำได้เต็มที่ในยามที่เรายังต้องออกไปทำงานประจำ งานดังกล่าวอาจเป็นการเล่นดนตรี, เล่นกีฬา, งานศิลปะ หรือแม้แต่การประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ก็ได้ งานเหล่านั้นจะสะท้อนคุณค่าของตัวงานจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการ “ทำงานเพื่อเงิน” นั่นเอง
จะว่าไป FIRE ก็คือการ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เป็นการใช้ชีวิตอย่างประหยัดและอดออมให้ได้มากที่สุดในวันนี้ เพื่อวันหนึ่งเราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข และเลือกทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักหรือชอบจริง ๆ ไม่ใช่ทำงานเพียงเพราะต้องการเงิน เมื่อนั้นงานของเราก็จะมีคุณค่าขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น ควบคู่ไปกับชีวิตที่เราเลือกเองได้ว่าจะเดินไปทางไหน โดยไม่ต้องให้ “เงิน” มามีอำนาจสั่งให้เราหันซ้ายหรือหันขวาอีกต่อไป