หลายคนอาจประสบกับภาวะ Burnout Syndrome หมดไฟ ไม่อยากทำงาน ทำแล้วไม่เสร็จ คิดไอเดียเจ๋ง ๆ ไม่ออก แบ่งเวลาส่วนตัวกับเวลางานได้ลำบาก ซึ่งเกิดจากวิถีชีวิตยุคใหม่ที่ต้องทำงานแบบ Work from home มากขึ้น แม้ช่วงแรกจะดูมีข้อดีมากกว่าเพราะไม่ต้องตื่นไวเท่าเดิม ไม่ต้องเสียเวลาเจอรถติดบนถนน แต่เมื่อผ่านไประยะยาวการทำงานที่บ้านก็เริ่มส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานหลายส่วน ไปจนถึง Mental Health และ Emotional Control วันนี้ MenDetails เลยรวม 3 ปัญหาจากการทำงานอยู่บ้านระยะยาวที่หลายคนเจอมาพร้อมเทคนิคในการปรับตัวเพื่อให้สุขภาพจิตแข็งแรง อารมณ์มั่นคงขึ้นครับ
โฟกัสงานไม่ได้ การไม่ได้ออกไปไหนกระทบความคิดสร้างสรรค์
ปัญหาแรกที่หลาย ๆ คนเผชิญอยู่ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และความ Productive ในการทำงานที่ลดลงนี่ล่ะครับ อาจกระทบไปจนถึงการโฟกัสงานไม่ได้ ทำงานไม่เสร็จตามเวลา เพราะว่าการ Work from Home นั้น คือ การทำงานจากพื้นที่เดิม ๆ สภาพแวดล้อมแบบเดิมเป็นระยะเวลานานครับ การที่คนเราไม่ได้ออกไปเจอสังคมใหม่ ๆ ขาดการติดต่อสื่อสารกับผู้คนจนถึงจุดหนึ่ง ย่อมส่งผลให้ Asset ในหัวสำหรับสร้างสรรค์งานเจ๋ง ๆ อะไรแปลกใหม่นั้นจางหายไปได้
รวมถึงเมื่อเป็นการทำงานที่บ้าน ตัวสถานที่ทำงานนี่แหละครับที่ทำให้โฟกัสงานยากขึ้น เพราะการอยู่ร่วมกับครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน อาจจะทำให้เราทำตัวสบาย ๆ โดยไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้ และส่วนใหญ่แล้ว ปกติบ้านหรือห้องนอนก็คงเป็น Comfort Zone สำหรับการพักผ่อนของหลาย ๆ คน เป็นที่ ๆ มักจะเอาไว้ขัดเส้นแบ่งเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัวอย่างชัดเจน เมื่อทั้งวันต้องอยู่แต่ที่บ้าน จึงทำให้สมาธิในการทำงานนั้นลดลงได้ไม่ยากเลย
ซึ่งหนึ่งในวิธีการปรับตัวที่เราอยากแนะนำ คือ หาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเองจากการอ่านหนังสือ ฟัง Podcast รายการที่น่าสนใจต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคลังความรู้ในหัวให้มากขึ้น และอีกวิธี คือ พาตัวเองไปรู้จักกลุ่มสังคมใหม่ ๆ ครับ อาจเป็นการเทคคอร์สเรียนออนไลน์ในเรื่องที่สนใจดู หากใครสนใจเรื่องการเงิน การลงทุนก็ลองหาคอร์สเรียนสักคอร์ส ใครอยากเรียนภาษาที่สามหรือสี่ก็ใช้โอกาสนี้ในการเริ่มต้น
เมื่อได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มทักษะและ Connection แล้ว ยังเป็นการเพิ่มความกระตือรือร้นให้ตัวเองอีกด้วย การเจออะไรใหม่ ๆ สามารถจุดประกายการสร้างสรรค์ไอเดียเจ๋ง ๆ ได้อยู่บ่อยครั้งครับ
เมื่อเราแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากทำงานแล้ว จะเป็นการแยกกรอบเวลาทำงานให้ชัดเจนมากขึ้นครับ สำหรับเรื่องการโฟกัสงานไม่ค่อยได้นั้น ให้ List งานที่ต้องส่งออกมาเป็นหัวข้อรายวัน ดูความสำคัญว่างานไหนต้องส่งก่อน แต่ละงานมีระยะเวลาในการดำเนินงานกี่วันกี่สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ลงมือทำไป เมื่อเรามีกิจกรรมอื่นที่ตั้งใจจะทำนอกจากงาน ก็จะเหมือนมีแรงกดดันให้ตัวเองต้องตั้งใจทำงานใน Work hours ให้มากขึ้น และทันทีที่ทำงานไหนเสร็จ ควรจะเช็กลิสต์หัวข้อนั้นเลยว่าทำเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เราอยากจัดการงานที่คั่งค้างทั้งหมดให้จบนั่นเอง
Work-life balance รวน เวลางานและเรื่องส่วนตัวปนกันไปหมด
เมื่อพูดถึงแนวคิดการทำงาน Work-life balance คงจะมีทั้งคนที่เห็นด้วย ยึดสิ่งนี้เป็นหลักการในการทำงานและใช้ชีวิต ไปจนถึงคนที่ไม่สมาทานหลักการนี้เพราะมองว่าการจะทำงานให้ประสบความสำเร็จจะต้องมาจากการทำงานหนัก แต่ในทัศนะของ MenDetails นั้นมองว่าการ Work smart เพื่อให้เกิด Work-life balance นั้นสำคัญกว่า Word hard เพียงอย่างเดียวครับ ฉะนั้นการสร้างสมดุลในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้
แต่เมื่อยกการทำงานมาไว้ที่บ้านแล้วดูเหมือนจะหาจุดที่ Balance ได้ยากขึ้นครับ หลายคนอาจกำลังเผชิญกับปัญหาแยกวันทำงานออกจากวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ได้ ประชุมนาน เวลาทำงานล่วงเลยไปกระทบเวลาพักผ่อน บางครั้งก็มีการติดต่องานในวันเสาร์อาทิตย์ จนกระทบวันหยุด เป็นต้น เมื่อเป็นแบบนี้เราควรจะปรับตัวอย่างไรมาลองดูกันครับ
เดิมที Work-life balance เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากการจัดสรรเวลาแบบเป็นสัดส่วนชัดเจน แบ่งเป็น 8-8-8 คือ ทำงาน 8 ชั่วโมง เวลาส่วนตัว 8 ชั่วโมง และนอนหลับอีก 8 ชั่วโมง ซึ่งหากเอาสิ่งนี้มาเป็นตัววัดในการจัดสรรบาลานซ์สำหรับทุกคนก็คงไม่เหมาะนัก เพราะด้วยสไตล์การทำงานและเนื้องานของแต่ละสายอาชีพที่ต้องรับผิดชอบมีความแตกต่างกันอยู่มาก ฉะนั้นจุดชี้วัดที่จะบอกได้ดีที่สุด ว่าเราจัดสรรเวลางานกับส่วนตัวอย่างสมดุลไหมอยู่ที่ความพึงพอใจของเราเองครับ
เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าทำงานเยอะเกินไปจนกินเวลาส่วนตัว ก็อาจจะต้องปรับด้วยการกำหนด Slot เวลาที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น ช่วง 4 ทุ่มจนถึง 5 ทุ่มจะเป็นเวลาออกกำลังกายและไม่ทำงานก็กำหนดกับตัวเองให้ชัดเจนพร้อมปฏิบัติตามนั้น หรือหากมีความตั้งใจว่าสุดสัปดาห์จะไม่ทำงานเลย แต่จริง ๆ ก็มักมีงานเข้ามาในวันหยุด เราก็ควรจะตั้งเวลาในการเช็กข้อความทางแอปพลิเคชันที่องค์กรใช้ (ไม่ว่าจะเป็น Microsoft team, Slack, Discord หรือ Line) รวมถึงการตรวจสอบอีเมลวันละ 1 ครั้งไปเลยครับ เช่น จะเช็กแค่ตอนเช้าที่ตื่นนอน หรือช่วงก่อนนอนหลับสัก 10-15 นาทีให้จบในเวลานั้น
และหลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าหากอยู่ในวันทำงาน แต่ล่วงเลยเวลาทำงานไปแล้ว หากมีแจ้งเตือนงานเข้า จำเป็นจะต้องตอบข้อความทันทีหรือไม่ จะเป็นอะไรไหมหากหยุดพักและเงียบไป? ส่วนนี้คงต้องบอกว่าอยู่ที่วัฒนธรรมขององค์กรแต่ละแห่งครับ หากมีทีม Stand by พร้อมอยู่เสมอ แต่เราเงียบหายไปก็คงจะดูไม่ดีนัก แต่ถ้าหลาย ๆ คนช่วยขีดเส้นแบ่งเวลาทำงานกับส่วนตัวอย่างชัดเจนมันก็จะทำให้ง่ายขึ้นครับ ในขณะที่ถ้าเป็น E-mail แม้ว่าจะมีเมลเข้ามาในตอนดึกก็สามารถรอตอบในเช้าวันถัดไปตอนเข้าชั่วโมงทำงานได้ครับ เพราะไม่ใช่ช่องทางที่ต้องเป็น quick response
หรือกลับกันเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าส่วนของ Life เยอะเกินไปจนกระทบส่วน Work ก็นับว่าเป็นปัญหาได้เช่นกันครับ ส่วนนี้อาจมาจากปัญหาเบื่อหน่าย ความขี้เกียจสะสมจากการอยู่แต่บ้านมานาน หรือเจอภาวะหมดไฟในการทำงาน ไม่มีไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด คือ ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง การรู้เร็วว่าเรากำลังเบื่องาน กำลังขี้เกียจหรือหมดไฟในการทำงานไวก็จะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น
โดยสามารถสังเกตภาวะหมดไฟได้จากทั้งด้านอารมณ์ ความคิดและสุขภาพเลยครับ แล้วแต่คนว่าจะมี sign ออกมาจากด้านไหน อารมณ์ เช่น ความเบื่อหน่าย อึดอัดใจ ไม่มีความกระตือรือร้น ส่วนความคิด เช่น อยากลาออก ไม่อยากทำงานนี้ ไม่อยากรับผิดชอบแล้ว และด้านสุขภาพ เช่น ร่างกายอาจจะเครียดจนปวดไมเกรน ปวดตา ปวดเกร็งช่วงบ่าคอไหล่ เป็นต้น เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองมีเรื่องไหนที่ผิดปกติไปจากเดิมก็ให้ Effect ส่วนไหน แก้ไขส่วนนั้น
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ภาวะหมดไฟดีขึ้นได้ คือ ลองตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในแต่ละวันดูครับ เป้าหมายรูปธรรมที่สามารถบรรลุได้จะเป็นแรงจูงใจให้เราอยากลุกขึ้นมาทำสิ่งต่อ ๆ ไป อาจจะใช้เทคนิคนี้ร่วมกับการให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จด้วยก็ได้ครับ เช่น หากทำงานให้เสร็จถึง 50% จะสั่งอาหาร ขนมหรือเครื่องดื่มที่อยากกิน หรือถ้าส่งโปรเจคได้ภายในวันนี้จะให้รางวัลตัวเองด้วยการดูหนังก่อนนอน เป็นต้น โดยควรจะตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องงาน แล้วรางวัลเป็นเรื่องที่ตัวเองชอบ เพื่อที่จะได้เป็นแรงกระตุ้นให้อยากทำงานให้เสร็จไวขึ้นครับ
เสพข่าวหนัก ๆ จนมีแต่เรื่องเครียดจน Emotional Control พัง
ประเด็นนี้เป็นความเครียดที่ไม่ได้เกิดจากการทำงาน แต่เกิดจากการกระบวนการเปิดรับข่าวสารที่ส่งผลต่ออารมณ์และความเครียดจนกระทบงานไปอีกต่อหนึ่ง หลัก ๆ คือ เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในช่วงที่ไม่สงบ ไม่ว่าจะด้วยอุบัตภัยตามธรรมชาติ โรคระบาด การก่อการจลาจลใด ๆ ก็ตาม ข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นก็จะเป็นข่าวด้านลบ ซึ่งการเสพสื่อที่มีแต่เนื้อหาด้านลบนาน ๆ สามารถส่งผลต่อทั้งสภาพจิตใจและการควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ทั้งนั้น อาจหงุดหงิดง่ายขึ้น อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้นลง จดจ่อกับงานหรือสิ่งจำเป็นได้ไม่นานนัก
บางคนอาจจะมีอาการ FOMO (Fear of Missing out) หรือที่เรียกว่ากลัวตกเทรนด์ไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ เพราะรู้สึกว่าตัวเองต้องตามข่าวสารบ้านเมืองให้ทันตลอดว่าในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นในสังคม รู้สึกว่าตัวเองทั้งต้องตามข่าวสาร ต้องทำงานให้ทันเวลา ต้องจัดการเรื่องส่วนตัวอีก โดยจะส่งผลให้ติดการเช็ก Notifications หนัก ต้องรู้ทันทุกกระแสไม่งั้นจะรู้สึกตามโลกไม่ทัน
เมื่อข่าวสารที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นเรื่องหนัก ๆ ประกอบกับบางคนอาจจะมีนิสัยต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องในสังคมตลอดเวลา ย่อมทำให้ส่งผลต่ออารมณ์และความเครียดอย่างเห็นได้ชัดครับ ฉะนั้นหากใครพบว่าตัวเองติดสมาร์ทโฟนหรือโซเชียลมากไป ควรจะค่อย ๆ ปรับลดเวลาในการเล่นลง หรือไม่ก็ลองทำ Social Detox ไปเลยครับ
เช่น เวลาตื่นนอน ให้ลุกขึ้นมายืดตัวและไปล้างหน้าล้างตาก่อนแทนที่จะจับโทรศัพท์ขึ้นมาไถเช็กข่าวตั้งแต่ที่เพิ่งลืมตาตื่น อาจจะลองปิด Notification บางแอปไปบ้างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนเวลามีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมา ลองกำหนดเวลาที่จะเล่นโทรศัพท์ในแต่ละวันเลยว่าจะ Online ช่วงไหน และ Offline ในช่วงไหน สำหรับคนที่ติดโซเชียลมาก ๆ ก็อาจจะยากหน่อยในช่วงแรกที่ปรับตัวครับ
อาจลองแก้ไขด้วยการ Mute คำหรือประโยคบางประเด็น ไปจนถึง Block คนที่ไม่อยากเห็นในโซเชียลไปก็ได้ครับ บางอย่างที่รู้สึกว่า Toxic กับสภาพจิตใจเรานั้นก็ควรตัดออกจากการรับรู้ไป เพื่อที่จะเซฟความรู้สึกตัวเองให้อยู่ในระดับที่มั่นคงขึ้นนั่นเอง
ไม่แปลกที่คนเราจะมีภาวะความเครียดที่สูงขึ้นจากการถูกจำกัดพื้นที่การใช้ชีวิตหรือต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมนาน ๆ เพียงแต่เราต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่เสมอว่าระดับอารมณ์และสภาพจิตใจของเราเป็นเช่นไร เมื่อรู้ว่าอยู่ในช่วงที่รู้สึกไม่โอเคตรงไหนก็ต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ตัวเองกลับมาอยู่สภาพที่พร้อมต่อการทำงานและการใช้ชีวิตให้มากที่สุดนั่นเองครับ