เสื้อสูท สำหรับผู้ชาย ถือเป็นเครื่องแต่งกายที่มีรายละเอียดสูง และจำเป็นต้อง “ฟิตพอดี” กับตัวผู้สวมใส่มากกว่าเสื้อผ้าชนิดอื่น ๆ ที่บางครั้งอาจจะพอ “หยวน ๆ” ให้กับขนาดที่อาจจะรัดรูปเกินไป หรือหลวมโคร่งเกินไปได้บ้าง ดังนั้นการเลือกซื้อ เสื้อสูท, เบลเซอร์ หรือสปอร์ตโค้ต ที่มีขนาดพอดีตัวจริง ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ปัญหาเรื่อง “ไซส์” คือปัญหาใหญ่สำหรับผู้ชายหลายคนที่จำเป็นต้องเลือกซื้อเสื้อสูททางออนไลน์เพราะไม่สามารถไปลองสินค้าที่ร้านได้ด้วยตัวเอง วันนี้ MenDetails จึงขอนำเสนอบทความเพื่ออธิบายและให้คำแนะนำในการ เทียบไซส์ และวัดขนาดเสื้อสูท เพื่อให้ผู้ชาย ซื้อเสื้อสูท ออนไลน์ ได้แม่นยำและตรงไซส์ของตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
ทำความเข้าใจตัวเลข Size ของ “เสื้อสูท”
ตัวเลขขนาดหรือ Size ของเสื้อสูท จะแบ่งออกเป็น 2 สำนักใหญ่ ๆ ได้แก่ สำนักยุโรป (EU Size) กับ สำนักอังกฤษ/อเมริกา (UK/US Size) เริ่มต้นที่สำนักยุโรปจะมีการนับไซส์โดยใช้ขนาดของรอบหน้าอกเป็นสำคัญ วิธีการคือให้นำสายวัดมาวัดรอบหน้าอกตรงจุดที่กว้างที่สุดของตัวผู้สวมใส่ โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซ็นติเมตร จากนั้นนำตัวเลขดังกล่าวไปหาร 2 ก็จะได้เป็นเบอร์เสื้อสูทของทางสำนักยุโรปสำหรับตัวเราครับ ตัวอย่างเช่น หากนำสายวัดมาวัดรอบอกของเราแล้วได้ขนาด 95 เซ็นติเมตร เมื่อนำไปหาร 2 ได้เป็นตัวเลข 47.5 จากนั้นควรปัดเศษขึ้นไปหาไซส์ที่ใกล้เคียงที่สุด นั่นก็คือเสื้อสูท Size 48 ตามระบบไซส์ของยุโรป โดยมีแบรนด์ที่ใช้ระบบนี้ เช่น Boglioli, Orazio Luciano, Ring Jacket เป็นต้น
Orazio Luciano จะใช้ระบบไซส์แบบยุโรป แต่ละไซส์จะเป็นเลขคู่ เริ่มต้นที่ประมาณ 42 ไปจนถึงประมาณ 60
ขณะที่ทาง สำนักอังกฤษและอเมริกา (UK/US) จะมีวิธีการนับไซส์ที่ต่างออกไป “นิดหน่อย” โดยยังคงใช้การวัดรอบหน้าอกเป็นพื้นฐานเช่นกัน แต่จะวัดเป็นหน่วย “นิ้ว” (inch) แทน และเมื่อวัดรอบอกของผู้สวมใส่ได้เท่าไหร่ ก็ให้ถือตัวเลขนั้นเป็นเลขไซส์เสื้อสูทของสำนักอังกฤษและอเมริกาได้เลย ตัวอย่างเช่น หากนำสายวัดมาวัดรอบอกของเราแล้วได้ขนาด 38 นิ้ว แปลว่าเราจะใส่เสื้อสูท Size 38 ตามระบบไซส์ของอังกฤษและอเมริกา โดยมีแบรนด์ที่ใช้ระบบไซส์แบบนี้ เช่น Brooks Brothers, Ralph Lauren, J.Press, Hackett, DAKS เป็นต้น
แบรนด์อเมริกันอย่าง Ralph Lauren ใช้ระบบไซส์เสื้อสูทแบบอังกฤษและอเมริกา เลขไซส์จะเป็นเลขคู่ เริ่มต้นที่ 34 ไปจนถึงประมาณ 50 จะสังเกตว่าระบบนี้จะมีให้เลือกความยาว Short-Regular-Long ได้ด้วย
นอกจากนี้ระบบอังกฤษและอเมริกานั้นจะมีตัวอักษรบ่งบอก “ความยาวของเสื้อสูท” เพิ่มขึ้นมาด้วย โดยแทนตัว S สำหรับ ‘Short’ แปลว่าเป็นเสื้อตัวสั้น, R สำหรับ ‘Regular’ แปลว่าเป็นเสื้อที่มีความยาวปกติ และ L สำหรับ ‘Long’ แปลว่าเป็นเสื้อตัวยาวสำหรับคนตัวสูง ซึ่งรายละเอียดนี้ถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง และมักจะพบเห็นในระบบไซส์ของสำนักนี้มากกว่าสำนักอื่น เช่น ตัวเลขไซส์ 36R แปลว่าเป็นเสื้อสูทที่เหมาะสำหรับคนที่มีรอบอก 36 นิ้ว และมีส่วนสูงปกติตามค่าเฉลี่ย เป็นต้น
Hackett เป็นแบรนด์จากอังกฤษ ที่ใช้ระบบ UK/US และมีให้เลือกความยาวของตัวเสื้อเช่นกัน
แต่ปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาสำคัญสำหรับตัวเลขไซส์แบบนี้นั่นก็คือ แต่ละแบรนด์ก็ดันมีขนาดของไซส์เดียวกันที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น ไซส์ 46 ของเสื้อสูทจาก Ring Jacket อาจมีขนาดต่างจากไซส์ 46 ของ Boglioli ได้อย่างมหาศาล หรือตัวเลขไซส์ 36 ของ Brooks Brothers จากสหรัฐอเมริกา กับไซส์ 36 ของ Hackett จากอังกฤษ ก็อาจจะมีฟิตติ้งที่ไม่เท่ากัน ตามแต่สไตล์ของแต่ละแบรนด์ว่าอยากให้ใส่แล้วหลวม ๆ หรือต้องการให้เข้ารูปมากกว่ากัน ซึ่งถือเป็นความแตกต่างที่เป็นเรื่องปกติและคงหาจุดร่วมที่ลงตัวชัดเจนไม่ได้ ดังนั้นตัวเลขไซส์แบบนี้จึงบอกได้เพียง “ประมาณคร่าว ๆ” เท่านั้น ว่าเราจะใส่เสื้อสูทที่ขนาดใด แต่ทางที่ดีถ้าจะให้รอบคอบ เราต้องรู้จักวิธี “วัดขนาด” ของเสื้อสูทแต่ละส่วน เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะซื้อเสื้อสูททาง Online ได้ “เป๊ะ” จริง ๆ นะครับ
วิธีวัดขนาดจากเสื้อสูทที่เรามีอยู่
การจะวัดขนาดของเสื้อสูทให้ได้ผลดีที่สุด เราจะต้องเป็นเจ้าของเสื้อสูทสักตัวหนึ่งที่เราชอบและคิดว่ามีขนาดที่พอดีตามสไตล์ของเราอยู่แล้ว จากนั้นจึงนำเสื้อสูทตัวดังกล่าวมาวัดขนาดในแต่ละส่วน เน้นว่าวัดที่ตัวเสื้อ ไม่ได้วัดที่ร่างกายของเรานะครับ โดยมีวิธีการเตรียมตัวและจุดสำคัญที่เราจำเป็นต้องวัดดังต่อไปนี้ครับ
การเตรียมเสื้อสูทสำหรับวัด
– หาที่กว้าง ๆ แล้ววางเสื้อสูทราบลงกับพื้น พร้อมติดกระดุมทุกเม็ดให้เรียบร้อย –
ขอให้วัดจากเสื้อสูทที่เราชอบที่สุด และคิดว่าใส่พอดีตัวที่สุด ควรกลัดกระดุมของเสื้อสูททุกเม็ดให้เรียบร้อยก่อนการวัดทุกครั้งด้วยนะครับ จากนั้นหาพื้นที่กว้าง ๆ ที่สามารถวางตัวเสื้อนอนราบไปได้ทั้งตัว จะเป็นโต๊ะตัวใหญ่ ๆ หรือพื้นสะอาด ๆ ก็ได้ทั้งนั้น ที่สำคัญเวลาวัดอย่าดึงเนื้อผ้าของตัวเสื้อให้ยืดมากกว่าปกตินะครับ ส่วนจะวัดเป็น เซ็นติเมตร หรือ เป็นนิ้ว ก็แล้วแต่สะดวกเลย ซึ่ง 1 นิ้ว จะมีความยาวประมาณ 2.54 เซ็นติเมตรครับ
วัดความกว้างของไหล่
– หาจุดที่กว้างที่สุดระหว่างตะเข็บไหล่ทั้งสองข้าง แล้ววัดพาดตรง ๆ แบบนี้เลย –
วิธีวัดความกว้างของไหล่ทำได้โดยการคว่ำเอาด้านหน้าของตัวเสื้อลงแนบราบกับพื้น จากนั้นนำสายวัดมาวัดจากตะเข็บตรงปลายหัวไหล่จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘Shoulder seam to shoulder seam’ เวลาวัดให้พยายามวัดจากจุดที่กว้างที่สุดของไหล่ และที่สำคัญคือให้วัดพาดผ่านจากซ้ายไปขวาแบบตรง ๆ ไปเลย ไม่ต้องวัดโค้งขึ้นไปหาปกเสื้อแต่อย่างใดนะครับ และเมื่อได้ขนาดแล้ว ก็หากระดาษจดไว้เลยครับ
วัดความยาวของตัวเสื้อสูท
-ด้านซ้ายคือการวัดแบบ BOC ด้านขวาเป็นการวัดแบบ TOC-
ยังคงคว่ำด้านหน้าของตัวเสื้อลงเช่นเดิมจากนั้นยกปกเสื้อสูทด้านหลังขึ้น แล้ววัดตรงกลางเสื้อจากตะเข็บเย็บที่เป็นฐานของปกเสื้อสูทไปจนถึงชายเสื้อด้านล่างสุด ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘Base of collar to hem’ (BOC Length) จากนั้นจับเอาปกเสื้อแจ็กเก็ตลงแล้ววัดอีกครั้งจากขอบบนสุดของปกเสื้อมาจนถึงชายเสื้อด้านล่างสุด ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘Top of collar to hem’ (TOC Length) ซึ่งโดยปกติเราจะใช้ตัวเลข BOC มากกว่า TOC แต่ขอให้จดไว้เป็นข้อมูลทั้งสองขนาดเลยนะครับ
วัดความกว้างของหน้าอก
พลิกเอาด้านหน้าของเสื้อสูทหงายกลับขึ้นมาด้านบน จากนั้นจัดเสื้อสูทให้ราบกับพื้นแนบสนิทดีอีกครั้ง ตรวจเช็คด้านหลังให้ดีว่าไม่มีการซ้อนกันของเนื้อผ้า จากนั้นจับแขนเสื้อสูทยกขึ้นเหมือนคนชูมือ แล้วเอาสายวัดมาวัดตรงรักแร้ของเสื้อสูทตรงจุดที่กว้างที่สุดใต้วงแขนเสื้อพอดี โดยวัดจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งแบบพาดผ่านตรง ๆ ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า ‘Armpit to armpit’ นั่นเองครับ
วัดความกว้างของเอวเสื้อสูท
– กระดุมแบบ 3 Roll 2 ให้วัดพาดผ่านเม็ดกลาง จะเป็นจุดที่แคบที่สุด ถือเป็นขนาด “เอว” ของตัวเสื้อครับ –
ภาษาอังกฤษเรียก Jacket Waist หรือ “เอวคอด” โดยเมื่อเราวัดหน้าอกเสร็จแล้ว ให้เลื่อนสายวัดมาวัดความกว้างของจุดที่แคบและคอดที่สุดของตัวเสื้อ ซึ่งโดยปกติเราก็จะวัดพาดผ่านกระดุมที่เรากลัดเสื้อสูทนั่นเอง ตัวอย่างเช่น หากเป็นกระดุมสูทแบบ 2 กระดุม ก็วัดผ่านกระดุมเม็ดบนสุด (เพราะเราไม่กลัดกระดุมเม็ดล่างเวลาใส่) แต่ถ้าเป็นกระดุมแบบ 3 Roll 2 ก็ต้องวัดพาดผ่านกระดุมเม็ดที่ 2 (เพราะเราไม่กลัดกระดุมเม็ดบนและล่างเวลาใส่) เป็นต้น
วัดความยาวของแขนเสื้อ
ความยาวของแขนเสื้อ หรือ Sleeves Length เป็นอีกจุดสำคัญที่จำเป็นต้องวัด ข้อควรจำคือเสื้อสูทบางตัวที่เป็นแบบสั่งตัด จะมีความยาวแขนเสื้อข้างซ้ายและขวาที่ไม่เท่ากัน นั่นเพราะโดยธรรมชาตินั้นแขนซ้ายและแขนขวาของคนเราย่อมยาวไม่เท่ากันอยู่แล้วครับ ดังนั้นถ้าจะให้ชัวร์คือต้องวัดความยาวแยกกันทั้งแขนซ้ายและแขนขวา แล้วก็จดไว้เป็นข้อมูลจำเพาะของตัวเองด้วยนะครับ ซึ่งการวัดความยาวแขนจะมีวิธีการวัดสองแบบดังนี้
– วิธีวัดแบบแรก วัดจากหัวไหล่ไปที่ปลายแขน –
วิธีแรกให้จัดระเบียบแขนเสื้อให้ทิ้งตรงที่สุดจากบนลงมาล่าง จากนั้นวัดจากรอยเย็บบนสุดตรงหัวไหล่ไล่ลงมาถึงปลายแขน ซึ่งปกติแล้วแขนเสื้อสูทจะโค้งเล็กน้อยเพื่อรับกับความโค้งของแขนผู้ใส่ แต่เวลาวัดความยาวแขนก็ให้วัดลงมาตรง ๆ ได้เลย ไม่ต้องจัดสายวัดให้โค้งตามนะครับ
– วิธีที่สอง จะวัดจากตรงกลางด้านหลังตัวเสื้อ มาที่หัวไหล่ และหักลงมาที่ปลายแขน –
วิธีที่สองต้องคว่ำด้านหน้าของตัวเสื้อลง จากนั้นเริ่มวัดตั้งแต่จุดกึ่งกลางใต้ปกเสื้อ แล้ววัดไปถึงไหล่ เมื่อสุดปลายไหล่ก็หักสายวัดเพื่อวัดต่อลงไปตามแนวแขนเสื้อจนกระทั่งถึงปลายแขน (โดยปกติเราจะเจอกับตัวเลขของการวัดแบบแรกมากกว่าแบบที่สอง แต่จะวัดแบบที่สองเผื่อไว้ด้วยก็ไม่เสียหายอะไรอยู่แล้วนะครับ)
เมื่อวัดขนาดทั้งหมดออกมาแล้ว เราจะพบว่าขนาดของเสื้อสูทที่เราชอบนั้น อาจไม่ตรงกับไซส์ที่แต่ละแบรนด์ระบุว่าเหมาะกับเราก็เป็นได้ เช่น เราวัดรอบอกตัวเองได้ 38 นิ้ว ซึ่งแปลว่าควรจะซื้อเสื้อสูทขนาด 38 ของ Ralph Lauren แต่พอมาเทียบตามขนาดที่เราวัดได้จากเสื้อสูทที่เราชอบใส่ มันอาจจะใกล้เคียงไซส์ 36 มากกว่าก็เป็นได้ ดังนั้นควรทำการตรวจทานทั้งเบอร์ไซส์และขนาดที่วัดได้จริงทุกครั้งก่อนกดสั่ง ซื้อเสื้อสูท ออนไลน์ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน รุ่นใดก็ตามนะครับ
สำคัญคือควรเลือกซื้อกับร้านที่บอกข้อมูลขนาดอย่างละเอียดครบถ้วนเสมอ
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าวัดทุกอย่างเป๊ะตามสูตรที่ MenDetails บอกทั้งหมด แต่ร้านหรือเว็บไซต์ที่เราจะสั่ง ซื้อเสื้อสูท ออนไลน์ มานั้น เขาไม่ได้บอกข้อมูลของขนาดเหล่านั้นให้เรารู้อย่างครบถ้วน สุดท้ายก็ยังเป็นความเสี่ยงในการซื้อของ online อยู่ดีนั่นเอง ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าจะเลือกซื้อเสื้อสูททาง Online ให้ได้ในขนาดที่ตรงเป๊ะจริง ๆ เราก็ต้องเลือกซื้อจากผู้ขายที่แจ้งขนาดทั้งหมดอย่างครบถ้วนด้วยนะครับ
บางเว็บไซต์จะให้ข้อมูลของขนาดเสื้อสูทมาเพียงแค่นี้ ซึ่งสำหรับเราแล้วถือว่าน้อยเกินไป
ตัวอย่างของร้าน Online ที่ MenDetails พบว่ามีการแจ้งขนาดของเสื้อสูทได้อย่างละเอียดครบถ้วนพอสมควร เช่น Drop93.com, SpierAndMackay.com, Yeossal.com หรือ MrPorter.com เป็นต้น หรือถ้าเป็นในเมืองไทยก็จะมีพ่อค้าหรือแม่ค้าทาง instagram ที่มีความรู้ในเรื่องนี้ และวัดขนาดได้ละเอียด เช่น ร้าน The Passion is Key, ร้าน Gundog โดย Wear It Like A Man, ร้าน Rugged Supply และร้าน Hazy Inquiry เป็นต้น
ตัวอย่างการแสดงขนาดของ Drop93.com จะเห็นว่าทางเว็บไซต์วัดขนาดให้ทุกส่วนอย่างละเอียดทีเดียว
ตารางเทียบไซส์เสื้อสูทจาก MrPorter.com ถือว่าละเอียดพอสมควรเช่นกัน (โปรดสังเกตว่าเราต้องนำตัวเลขหน้าอกและเอวคอดที่วัดได้ไป ‘คูณสอง’ เสียก่อน อีกทั้งความยาวของแขนเสื้อที่ Mr.Porter ใช้ จะเป็นตัวเลขที่ได้จากการวัดแบบที่ 2 ตามที่ MenDetails อธิบายไว้ข้างต้น)
ความจำเป็นในการเลือกซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ผู้ชายบางคนอาจอยู่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หรือบางทีสถานการณ์ก็บีบบังคับให้ต้องอยู่เฉพาะภายในบ้าน เช่น การกักตัวจากภาวะโรคระบาดที่ไม่คาดฝัน ฯลฯ การช่วยเหลือร้านค้าด้วยการซื้อของผ่านทางออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกทำได้ แต่จะซื้อทั้งทีก็ควรซื้อให้ถูกไซส์ถูกขนาด เพื่อให้ได้เสื้อสูทที่ถูกใจ ใส่แล้วพอดีตัวเป๊ะ ไม่ต้องเสียเวลาส่งคืนให้หงุดหงิดเล่น MenDetails หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้ชายทุกคนเลือก ซื้อเสื้อสูท ออนไลน์ ได้ตรงไซส์ตรงขนาดของร่างกายตัวเองนะครับ